จังหวัดในประเทศไทย

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

จังหวัด เป็นเขตบริหารราชการส่วนภูมิภาคของประเทศไทย ปัจจุบันมีทั้งสิ้น 76 จังหวัด (ทั้งนี้ กรุงเทพมหานครไม่เป็นจังหวัด จังหวัดถือเป็นระดับการปกครองของรัฐบาลลำดับแรก โดยเป็นหน่วยการปกครองส่วนภูมิภาคที่รวมท้องที่หลาย ๆ อำเภอเข้าด้วยกันและมีฐานะเป็นนิติบุคคล ในแต่ละจังหวัดปกครองด้วยผู้ว่าราชการจังหวัด

การจัดแบ่งกลุ่มจังหวัดออกเป็นภาคต่าง ๆ มีการใช้เกณฑ์ที่แตกต่างกัน โดยมีทั้งการแบ่งอย่างเป็นทางการโดยราชบัณฑิตยสถานสำหรับ ใช้ในแบบเรียน และการแบ่งขององค์กรต่าง ๆ ตามแต่การใช้ประโยชน์ ชื่อของจังหวัดนั้นจะเป็นชื่อเดียวกับชื่ออำเภอที่เป็นที่ตั้งของศูนย์กลาง จังหวัด เช่น ศูนย์กลางการปกครองของจังหวัดเพชรบุรีอยู่ที่อำเภอเมืองเพชรบุรี เป็นต้น แต่ชื่ออำเภอเหล่านี้มักเรียกย่อแต่เพียงว่า "อำเภอเมือง" ยกเว้นจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ที่ใช้ชื่อจังหวัดเป็นชื่ออำเภอที่ตั้งศูนย์กลางการปกครองโดยตรง (อำเภอพระนครศรีอยุธยา)

หน่วยการปกครองย่อยรองไปจากจังหวัดคือ "อำเภอ" ซึ่งมีทั้งสิ้น 878 อำเภอ ซึ่งจำนวนอำเภอนั้นจะแตกต่างกันไปในแต่ละจังหวัด ส่วนเขตการปกครองย่อยของกรุงเทพมหานครมีทั้งหมด 50 เขต

Saturday, May 3, 2014

ประวัติศาสตร์จังหวัดต่าง ๆ (ขึ้นต้นด้วย ต,น)



ประวัติศาสตร์จังหวัดตรัง
ตราประจำจังหวัด

รูปกระโจมไฟ ท่าเรือ และลูกคลื่นในท้องทะเล
คำขวัญประจำจังหวัด
เมืองพระยารัษฎา ชาวประชาใจกว้าง
หมูย่างรสเลิศ       ถิ่นกำเนิดยางพารา
เด่นสง่าดอกศรีตรัง   ปะการังใต้ทะเล
เสน่ห์หาดทรายงาม   น้ำตกสวยตระการตา

ประวัติศาสตร์จังหวัดตรัง
คำว่า "ตรัง" มีความหมายสันนิษฐานได้ ๓ ทาง คือ
1. ตรัง ที่มาจากคำว่า "ตรังคปุระ" เป็นคำสันสกฤต แปลว่า "การวิ่งห้อของม้า หรือคลื่นเคลื่อนตัว" ชื่อเมือง 12 นักษัตรนั้นคือชื่อเมืองป้อมปราการล้อมรอบเมืองนครศรีธรรมราช เมืองตรังคปุระเป็นเมืองที่มีฐานทัพเรือ จึงให้ใช้ตราม้า
2. ตรัง มาจากคำว่า "ตรังค์" แปลว่า "ลูกคลื่น" เพราะลักษณะพื้นที่ของเมืองตรังตอนเหนือเป็นเนินเล็ก ๆ สูงๆ ต่ำ ๆ คล้ายลูกคลื่นอยู่ทั่วไป
3. ตรัง มาจากคำว่า "ตรังเค" (TARANGUE) ซึ่งเป็นภาษามลายู แปลว่า "รุ่งอรุณ" หรือ "สว่างแล้ว" สันนิษฐานว่าคงมีชาวมลายูและชาวต่างชาติ เช่น จีน อินเดีย เปอร์เซีย เดินทางมาค้าขายละแวกนี้ เมื่อเรือแล่นมาถึงปากอ่าวแม่น้ำตรัง เป็นเวลารุ่งอรุณพอดี คนที่โดยสารมาในเรืออาจจะเปล่งเสียงออกมาว่า "ตรังเค" สว่างแล้ว

ประวัติความเป็นมา
จังหวัดตรังเท่าที่ทราบและปรากฏหลักฐานแน่ชัด เริ่มในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี แต่ก็มีหลักฐานบางอย่างที่เชื่อได้ว่าจังหวัดตรัง เป็นชุมชนที่มีคนเคยอยู่มาก่อนหน้านั้น ซึ่งสามารถลำดับเหตุการณ์ เป็นช่วงสมัยได้ ดังนี้
1. ชุมชนตรังในช่วงสมัยหินใหม่
2. ชุมชนสมัยก่อนประวัติศาสตร์ไทย
3. เมืองตรังสมัยอาณาจักรศรีธรรมาโศกราช
4. เมืองตรังสมัยกรุงศรีอยุธยา
4. เมืองตรังสมัยกรุงธนบุรี
6. เมืองตรังช่วงกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น
7. เมืองตรังสมัยสมเด็จเจ้าพระยามหาสุริยวงศ์ (ช่วง บุญนาค)
8. เมืองตรังสมัยพระยารัษฎานุประดิษฐ์มหิศรภักดี (คอซิมบี๊ ณ ระนอง)
9. เมืองตรังช่วงหลังพระยารัษฎานุประดิษฐ์มหิศรภักดี (คอซิมบี๊ ณ ระนอง)

ชุมชนเมืองตรังในช่วงสมัยหินใหม่
จากการสำรวจหลักฐานชั้นต้น และหลักฐานชั้นรอง แสดงให้เห็นว่าชุมชนตรังได้มีมาแล้ว ในช่วงสมัยหินใหม่ เนื่องจากได้พบร่องรอยมนุษย์ในช่วงหินใหม่ กระจัดกระจายในทุกท้องที่ของจังหวัด เช่น พบภาชนะ หม้อสามขา และ ขวานหินขัด ที่แถบเขาสามบาตร ตำบลนาตาล่วง พบซากโครงกระดูกมนุษย์ที่ถ้ำเขาพระ อำเภอห้วยยอด การพบหม้อกุณฑี ลักษณะเดียวกับพบที่ อำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา และลูกปัดคล้ายคลึงกับพบที่อำเภอคลองท่อม จังหวัดกระบี่ ที่เขาโต๊ะแหนะ หาดเจ้าไหม อำเภอกันตัง สิ่งเหล่านี้ ล้วนเป็นหลักฐานยืนยันได้ว่า จังหวัดตรัง มีชุมชนมาแล้วไม่น้อยกว่า 2000 ปี

ชุมชนสมัยก่อนประวัติศาสตร์
เมืองตะโกลา
ในจดหมายเหตุของปโตเลมี ที่ได้บันทึกตามคำบอกเล่าของนักเดินเรือชาวกรีกชื่ออเล็กซานเดอร์ เดินทางเข้ามาในช่วงพุทธศตวรรษที่ 7 กล่าวถึงเมือง "ตะโกลา” ไว้ว่า เป็นเมืองท่าของสุวรรณภูมิ หรือไครเสาเซอร์โสเนโสส และเมือง “ตะโกลา”  ยังปรากฏอยู่ในหนังสือมิลินทปัญหา เขียนขึ้นในราพุทธศตวรรษที่ 5  เรียกเมืองนี้ว่า ตกฺโกล 
 นอกจากนี้ จารึกของพวกตนโจร (พวกทมิฬที่อยู่ทางตอนใต้ของอินเดียประเทศศรีลังกา) ในสมัยพระเจ้าราเชนทร์ที่ 1 เป็นกษัตริย์ของโจฬะ (ประมาณปี พ.ศ. 1555 – 1585) ได้กล่าวถึงเมือง ตไลตตฺตกฺโกลํ
นักโบราณคดีต่าง ๆ มีความเห็นว่าเมืองตะโกลา, ตกฺโกล และ ตไลตตฺตกฺโกลํ คือ เมืองเดียวกัน
เมืองตะโกลาที่กล่าวข้างต้น น่าจะเป็นท้องที่บริเวณจังหวัดตรังและจังหวัดใกล้เคียง โดยเฉพาะ อำเภอคลองท่อม จังหวัดกระบี่ ในปัจจุบัน โดยมีหลักฐานที่สนับสนุนในเรื่องนี้คือ
1) ข้อเขียนของเลอเมย์ผู้เขียนวัฒนธรรมเอเชียอาคเนย์เขียนถึง ตะโกลาไว้ดังนี้.....
สถานที่แห่งนี้อาจหมายถึงเมืองตรัง เพราะท้องที่เมืองตรังเขตอำเภอปะเหลียน และอำเภอกันตัง มีอาณาเขตตกทะเลหน้านอกในมหาสมุทรอินเดีย เป็นที่จอดเรือได้ดี
2) จดหมายเหตุของปโตเลมี เขียนถึงตะโกลาไว้ดังนี้ เมื่อพ้นประเทศอาจิราเลียบฝั่งลงไปเรื่อย ๆ ถึงแหลมเบซิงงาในอ่าวซาราแบก (เขตจังหวัดพังงาปัจจุบัน) เมื่อพ้นจากนั้นก็เข้าเขตที่อเล็กซานเดอร์นักเดินเรือชาวกรีกเรียกว่า เมืองทองแล้วก็จะถึงเมืองตะโกลา.....ใต้เมืองพังงาลงมาที่เป็นเมืองท่าสำคัญเห็นจะมีแต่เมืองตรังเท่านั้น ที่เป็นเมืองท่าเรือ
3) ตามลักษณะทางภูมิศาสตร์ การเดินเรือในเขตมรสุม ถ้าจะเดินทางจากลังกา หรืออินเดียตอนใต้ มายังสุวรรณภูมิ เมื่อตั้งหางเสือของเรือแล้วแล่นตัดตรงมา อิทธิพลของมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ จะนำเรือเข้าฝั่งสุวรรณภูมิบริเวณเส้นละติจูดที่ 7 องศาเหนือ ซึ่งจะตรงกับจังหวัดตรังพอดี หาก "ตะโกลา" เป็นเมืองท่าของสุวรรณภูมิ (ตามจดหมายเหตุของปตาเลมี) "ตะโกลา" ก็คือชุมชนในเขตเมืองตรัง นั้นเอง
4) ตามลักษณะภูมิศาสตร์ กล่าวถึง เส้นทางการติดต่อค้าขายข้ามแหลมทองระหว่างฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตก นั้น จะมีการขนถ่ายสินค้า จากเมืองตะโกลาไปยังฝั่งทะเลทางอ่าวไทย
เส้นทางนี้หากจะพิจารณาว่าเป็นเส้นทางจากตะกั่วป่า ไปยังสุราษฎร์ธานี ก็คงไม่ใช้เพราะเส้นทางจากตะกั่วป่าไปยังจังหวัดสุราษฎร์ธานี ต้องข้ามเขาสก จึงเป็นภูเขาสูงเป็นพันฟุต "ทางข้ามเขาสกนั้น ไม่ใช้เส้นทางขนถ่ายสินค้าข้ามปลายแหลมทอง แต่เป็นเส้นทางลัดข้ามแดนเท่านั้น"
เมื่อตะโกลา เป็นเมืองยุคก่อนประวัติศาสตร์ไทย หากเชื่อว่าชุมชนในเขตเมืองตรัง คือ เมืองตะโกลาก็จะสรุปได้ว่าเมืองตรังมีมาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ไทย

สมัยศรีวิชัย และตามพรลิงค์ตอนปลาย
ชุมชนตรังได้มีแล้วในสมัยศรีวิชัย ประมาณพุทธศตวรรษที่ 13 - 18 จากหลักฐานปรากฏได้พบโบราณวัตถุ สมัยศรีวิชัย ในท้องที่ของจังหวัดตรัง เช่น พบพระพิมพ์ดินดิบ อักษรจารึกเป็นภาษา เทวนาศรี เยธมมา รูปพระโพธิสัตว์ ที่ชุมชนแถบวัดเขาปินะ วัดหูแกง วัดคีรีวิหาร อำเภอห้วยยอด

ยุคอาณาจักรศรีธรรมาโศกราช
เมืองตรังช่วงยุคอาณาจักรศรีธรรมาโศกราช ตำนานเมืองนครศรีธรรมราชได้กล่าวไว้ว่า "พญาโคสีหราช ผู้ครองเมืองนครบุรีได้พระทันตธาตุของพระพุทธเจ้า ต่อมาท้าวอังกุราชผู้ครองนครจันบุรี มีพระประสงค์ที่จะได้พระทันตธาตุ จึงยกกองทัพมาแย่งชิง พญาโคสีหราชแต่งทัพออกสู้ และสั่งพระราชโอรสและพระราชธิดาว่าถ้าพระองค์สิ้นพระชนม์กลางศึก ให้นาพระทันตธาตุหนีไปเมืองลังกาให้จงได้ พระธนกุมารและนางเหมมาลาซึ่งเป็นพระราชโอรสและพระราชธิดาเมื่อทราบข่าวว่าพระราชบิดาสิ้นพระชนม์ จึงนาพระทันตธาตุลงสำเภาหนีแต่สำเภาอัปปางกลางทาง พระธนกุมารและนางเหมมาลาขึ้นบกได้ บุกป่าไปถึงหาดทรายแก้วและฝังพระทันตธาตุไว้ พระมหาเถรพรหมเทพทราบเข้าก็มานมัสการไต่ถามพระราชโอรสและพระราชธิดา ก็ได้รับทราบความตั้งใจและรับปากว่า ถ้ามีเหตุร้ายจะช่วยเหลือพร้อมกับทำนายว่า พระยาศรีธรรมาโศกราชจะมาตั้งเมืองที่หาดทรายแก้ว พระราชโอรสและพระราชธิดาจึงเดินทางต่อไปถึงเมืองตรัง โดยนำพระทันตธาตุไปด้วยและเมื่อถึงเมืองตรังได้ลงสำเภาไปยังลังกา"
ตามจารึกที่วัดเสมาเมือง หลักที่ 23 ได้กล่าวไว้ว่า.....เมื่อพระยาศรีธรรมาโศกราชสร้างเมืองนครศรีธรรมราชที่หาดทรายแก้ว ในปี พ.. 1098 นั้น เมืองนครยังมีเมืองขึ้นอีก 12 เมือง เรียกว่าเมือง 12 นักษัตร ซึ่งกำหนดตราประจำเมืองไว้ดังนี้

1. ตราชวด เมืองสายบุรี

7. ตรามะเมีย เมืองตรัง

2. ตราฉลู เมืองปัตตานี
8. ตรามะแม เมืองชุมพร

3. ตราขาล เมืองกลันตัน
9. ตราวอก เมืองบัณทายสมอ

4. ตราเถาะ เมืองปาหัง
10. ตราระกา เมืองสระอุเลา

5. ตรามะโรง เมืองไทรบุรี
11. ตราจอ เมืองตะกั่วป่า

6. ตรามะเส็ง เมืองพัทลุง
12. ตรากุน เมืองกระบุรี
จากตำนานและจารึกดังกล่าวแสดงว่า เมืองตรังเป็นชุมชนเมืองมาตั้งแต่ก่อนตั้งอาณาจักรศรีธรรมาโศกราช โดยเฉพาะในช่วงอาณาจักรศรีธรรมาโศกราชนั้น อาจจะเรียกว่าเป็นเมืองของรัฐอิสระในทางใต้

ชุมชนเมืองตรังสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี
ในสมัยพระเจ้าอู่ทองครองราชย์กรุงศรีอยุธยา เมืองตรังยังเป็นเมืองขึ้นของอาณาจักรนครศรีธรรมราชโศกราช พระเจ้าจันทรภานุแห่งราชวงศ์ปทุมวงค์ ของอาณาจักรศรีธรรมาโศกราช และพระเจ้าอู่ทอง แห่งกรุงศรีอยุธยา ได้รบพุ่งกันเพื่อแย่งชิงซึ่งความเป็นใหญ่ในเผ่าไทยเหนือ กลาง และใต้ จนกระทั่งได้มีการหย่าศึกกันที่บางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
ครั้นในสมัยของพระบรมไตรโลกนาถ เมืองนครศรีธรรมาโศกราช เป็นเมืองขึ้นของกรุงศรีอยุธยา ในฐานะหัวเมืองเอกฝ่ายใต้ หลักฐานตามที่ปรากฏชัดคือการรวมไทยของอยุธยา ในทำเนียบศักดินาของพระธรรมนูญปกครองหัวเมืองฝ่ายใต้ เมืองตรังจึงต้องรวมเป็นเมืองขึ้นของกรุงศรีอยุธยาด้วย เมืองตรังเป็นเมืองท่าของเมืองนครศรีธรรมราชท่าฝั่งตะวันตกคู่กับเมืองท่าทองเป็นเมืองฝั่งตะวันออก
ในช่วงนี้ ผู้สำเร็จราชการปอร์ตุเกสที่อินเดีย คือ อัลฟองโสเดออัลบูร์เคอร์ก ได้ยกกองทัพมาตีเมืองมะละกา ในสมัยที่สุลต่านมูรซับฟาร์ปกครอง ต่อมาเมื่อรู้ว่าเป็นเมืองขึ้นของไทย (.. 2054) ก็เลยส่งอาซเวโด เดินทางจากมะลากามาขึ้นบกที่เมืองตรังและเดินทางต่อด้วยม้าและเกวียนเข้าไปนครศรีธรรมราชแล้วลงเรือไปกรุงศรีอยุธยา เพื่อนำสาส์นไปขอโทษไทยพร้อมกับถวายปืนไฟ 300 กระบอก
ในช่วงสมัยตอนปลายกรุงศรีอยุธยา มีหลักฐานอ้างถึงเมืองตรังไว้ดังนี้ เมื่อครั้งกรุงเก่าในแผ่นดินเจ้าฟ้ากรมขุนอนุรักษ์มนตรีเสวยราชย์ให้ พระยาราชสุภาวดีเป็นเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช หลวงสิทธิ นายเวรมหาดเล็ก (หนู) เป็นปลัดเมืองภายหลังพระยานครฯ ถูกอุทธรณ์ต้องกลับไปอยู่กรุงเทพฯ (หมายถึงกรุงเทพทวารวดีศรีอยุธยาหรือกรุงศรีอยุธยา) ถูกถอดจากเจ้าเมือง เวลากรุงเสียแก่พม่าหามีเจ้าเมืองไม่ มีแต่พระปลัดเป็นผู้รักษาราชการเมือง จึงตั้งตัวเป็นเจ้านครฯ เมืองชุมพร ปะทิว หลังสวน กระ ระนอง ตะกั่วป่า ตะกั่วทุ่ง พังงา พัทลุง สงขลา ตานี หนองจิก เทพา ไทร ปะลิศ สตูล ภูเก็ต รวมทั้งเมือง ตรัง กระบี่ และเมืองท่าทอง มาขึ้นกับเจ้านคร (หนู) ตั้งเป็นชุมนุมนครศรีธรรมราชไม่ขึ้นกับกรุงเทพฯ

เมืองตรังสมัยกรุงธนบุรีเป็นราชธานี
เมื่อกรุงธนบุรีเป็นเมืองหลวงอำนาจของเมืองนครศรีธรรมราชก็ถูกลดลงกว่าเดิม ทางราชธานีได้มอบหมายให้เจ้านครศรีฯ (หนู) ปกครองแต่เพียงบริเวณหัวเมืองเท่านั้น เพราะได้โปรดเกล้ายกเมืองขึ้นของเมืองนครศรีธรรมราชเมืองอื่น ๆ คือ ไชยา พัทลุง ถลาง ชุมพร มาขึ้นตรงต่อกรุงธนบุรีในปี พ.. 2319 และให้แยกเมืองสงขลาออกจากเมืองนครศรีธรรมราช ขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ ในปี พ.. 2320 หัวเมืองนครศรีธรรมราชในครั้งนั้น จึงมีแต่เมืองตรัง และเมืองท่าทอง ซึ่งเป็นเมืองท่าฝั่งทะเลทางตะวันตกและชายฝั่งทะเลตะวันออกเท่านั้น
นอกจากนี้หลักฐานจากใบบอกเมื่อทราบข่าวว่าอะแซหวุ่นกี้เตรียมยกกองทัพมาตีกรุง ธนบุรี ใบบอกที่มาถึงหัวเมืองปักษ์ใต้ก็ยังกล่าวถึงเมืองตรังไว้ดังนี้ในสัญญาบัตรตราตั้งเจ้าพระยานครศรีธรรมราช (พัฒน์) ของพระเจ้ากรุงธนบุรีกล่าวว่าประการหนึ่งเมืองสงขลาและเมืองตรังเป็นเมืองปลายด่าน แดนต่อด้วยเมืองไทร เมืองปัตตานีและเมืองแขกทั้งปวงยังมิสงบสงครามเป็นการเขียนย้ำให้เจ้าเมืองนครศรีธรรมราชคอยระมัดระวัง และตรวจตราดูแลเมืองในปกครองของเมืองนครศรีธรรมราช เพราะทางเมืองหลวงเกรงว่าเมื่อมีศึกกับพม่าแล้ว ทางหัวเมืองแขกอาจจะยกกองทัพมาตีเมืองสงขลาและเมืองตรังก็ได้
เมืองตรังในช่วงนี้สืบต่อมาจากกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย มีพระยาตรังนาแขกเป็นเจ้าเมืองมีชุมชนย่อย 2 ชุมชน คือ เมืองตรัง และเมืองภูรา

เมืองตรังช่วงกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ได้รวมเมืองตรังและเมืองภูราเข้าด้วยกัน ตั้งพระภักดีบริรักษ์ผู้ช่วยราชการเมืองนครศรีธรรมราชออกมารักษาเมืองตรังแทนพระตรังค์นำแขกซึ่งชราภาพมาก เมืองตรังช่วงก่อนพระภักดีบริรักษ์นี้ มีอาณาเขตดังนี้
1. ทิศใต้ ลงไปถึง เกาะลิบง
2. ทิศตะวันตก จดทะเลและต่อแดนกับปากกุแหระแขวงเมืองนครศรีธรรมราช
3. ทิศเหนือ จดเขตเมืองนครศรีธรรมราช
4. ทิศตะวันออก จดเมืองปะเหลียนและแขวงเมืองสตูล
เมื่อโปรดให้พระภักดีบริรักษ์ ผู้ช่วยราชการเมืองนครศรีธรรมราชออกไปรักษาเมืองตรังนั้น ปรากฏอยู่ในเพลงยาวออกวางตราเมืองตรังค์ เป็นพระยาตรังคภูมาภิบาล (จันทร์) หรือพระยาตรังค์ที่เก่งทางโคลงฉันท์กาพย์กลอน หรือพระยาตรังค์ศรีไหนนั้นเอง พระภักดีบริรักษ์ได้กราบทูลขอยกเมืองตรังและเมืองภูราเข้าเป็นเมืองตรังภูรา                     ต่อมาพระภักดีบริรักษ์ต้องโทษ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าต้องโทษสถานใด แต่เข้าใจว่าเป็นเรื่องภรรยาที่ 3 มีชู้แล้วท่านจับได้เลยให้เฆี่ยนชายชู้ถึงตาย ถูกเรียกตัวกลับเข้ารับราชการในกรุงเทพฯ เสร็จแล้วโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้โต๊ะปังกะหวาผู้รักษาเกาะลิบงหรือพระยาลิบงออกเป็นผู้รักษาเมืองตรัง ต่อมาพระยาลิบงเกดทะเลาะกับเจ้านครฯ (พัฒน์) จนเป็นอริกัน เมื่อเรื่องราวทราบถึงราชธานี พระพุทธยอดฟ้าฯ ก็ใช้วิธีเดียวกับที่เคยใช้กับเมืองสงขลาได้ผลมาแล้ว คือ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้ายกเมืองตรังมาขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ เสียชั่วคราวในปี พ.. 2347
เมื่อพระยาลิบง (โต๊ะปังกะหวา) ถึงแก่กรรม จึงโปรดให้หลวงฤทธิสงคราม ซึ่งเป็นบุตรเขยพระยาลิบงเป็นผู้รักษาเมืองตรัง แต่ทรงพิจารณาแล้วเห็นว่าจะให้เมืองตรังขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ อีกไม่ได้ เพราะหลวงฤทธิสงคราม ยังขาดความรู้ความสามารถในการบริหารบ้านเมือง จึงโปรดเกล้าฯ ให้เมืองตรังไปขึ้นกับเมืองสงขลาให้เจ้าพระยาสงขลา (บุญฮุย) เป็นผู้บังคับบัญชาดูแลและช่วยเหลือหลวงฤทธิสงครามปกครองเมืองตรังภูราต่อไป
ในปี พ.. 2354 ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญหลายประการในภาคใต้ เนื่องจากเจ้าพระยานครฯ (พัฒน์) ได้ลาออกจากตำแหน่ง ทางราชธานีได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้พระบริรักษ์ภูเบศร์ (น้อย) ผู้ช่วยราชการเมืองนครศรีธรรมราช เป็นพระยานคร (น้อย) ปกครองเมืองนครศรีธรรมราชต่อไป ในปีนี้ปรากฏว่าหลวงฤทธิสงครามและเจ้าพระยาสงขลาได้ถึงแก่กรรม จึงเหลือพระยานครฯ (น้อย) เพียงผู้เดียวที่มีความรู้ความสามารถในภาคใต้ ทางราชธานีได้พิจารณาแล้วว่าเมืองตรังจะขึ้นกับเมืองสงขลาอีกดังเดิมไม่เหมาะสมเสียแล้ว เพราะหลังจากที่พม่ามาตีถลางแล้วในปี พ.. 2352 ไม่มีหัวเมืองใดเหมาะสมในการดูแลหัวเมืองชายฝั่งทะเลตะวันตกแทนเมืองถลางเท่ากับเมืองนครศรีธรรมราช จึงโปรดเกล้าให้เมืองตรัง กลับมาขึ้นกับเมืองนครศรีธรรมราชตามเดิม และให้พระยานครฯ (น้อย) จัดกรมการเมืองนครศรีธรรมราชลงไปทานุบำรุงเมืองตรังให้เป็นที่ทาไร่นายุ้งฉางเก็บเรือรบเรือลาดตระเวนและสะสมกำลังผู้คนไว้ทางฝั่งทะเลตะวันตก เพื่อเป็นการป้องกันและปราบปรามแขกสลัดทั้งสื่อข่าวเคลื่อนไหวของพม่าและป้องกันการรุกรานของพม่าต่อหัวเมืองฝั่งทะเลตะวันตกอีกด้วย ดังปรากฏหลักฐานในตราสารของเจ้าพระยาเสนา (ปิ่น) สมุหกลาโหม มีออกไปถึงปลัดและกรมการเมืองนครศรีธรรมราชในปี พ..  2354 ดังนี้
เมืองตรังภูรานั้นเป็นเมืองขึ้นของเมืองนครศรีธรรมราชมาแต่ก่อน ให้ยกเอาเมืองตรังภูรากลับมาขึ้นแก่เมืองนครศรีธรรมราช ให้พระยานครจัดแจง หลวง ขุน หมื่น กรมการ ที่มีสติปัญญาสัตย์ซื่อมั่นคงไปตั้งเกลี่ยกล่อมแขกไทยมีชื่อให้เข้าไปตั้งบ้านเรือน ทำไร่นา ปลูกยุ้งฉางรวบรวมเสบียงอาหารทารั้วโรงไว้เรือรบ เรือไล่ รักษาปากแม่น้ำตรังไว้ ขุนมีราชการประการใด จะได้ช่วยรบพุ่งกันทันท่วงที 
พระยานคร (น้อย) ได้ออกปรับปรุงเมืองตรังด้วยตนเองตามที่ราชธานีมีสาส์นกำชับไว้จนกระทั่งเมืองตรังเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว เพราะมีกำปั่นต่างประเทศมารับสินค้าปีละหลาย ๆ ลำ และเป็นฐานทัพเรือที่สำคัญ สาหรับป้องกันพม่าทางหัวเมืองฝั่งทะเลตะวันตกกับควบคุมหัวเมืองไทรบุรีปรากฏว่าเมืองตรังมีกองเรือรบและเรืออื่น ๆ ถึง 300 ลำ นอกจากนี้ยังจัดหน่วยราชการ เช่นเดียวกันกับเมืองนครศรีธรรมราช คือมีตำแหน่งผู้รักษาเมือง ปลัด ยกกระบัตรมหาดไทย นครบาล กรมนา กรมวัง กรมคลัง และสรรพากร สาหรับเมืองตรังมีกรมพิเศษนอกเหนือจากเมืองนครศรีธรรมราช คือ กรมปืน มีหน้าที่สะสมและรักษาปืนซึ่งเป็นอาวุธสำคัญในสมัยนั้น ในช่วงปี พ.. 2354 นี้เอง พระยานคร (น้อย) ได้กราบทูลไปยังราชธานีเพื่อให้โปรดเกล้า แต่งบุตรคนหนึ่งออกไปรักษาเมืองตรัง คือ พระอุไทยธานี (ม่วง) เจ้าเมืองคนนี้ได้ย้ายเมืองตรังจากตรังภูรา มาที่ควนธานี และได้วางหลักเมืองที่ควนธานีด้วย เมืองตรังในช่วงนี้เจริญมากเพราะมีสินค้าที่ชาวต่างประเทศต้องการ คือ ช้าง ทางราชธานีได้ให้การสนับสนุนโดยการต่อเรือบรรทุกช้างไปจำหน่าย การค้าช้างเมืองตรังสมัยนั้นมีประจำทุกปีตามฤดูของลมมรสุม ดังในปี พ.. 2355 เจ้าพระยานคร (น้อย) ได้ขายช้างให้อินเดีย 3 ลำเรือ และปี พ.. 2357 มีเรือกำปั่นมาซื้อช้าง 2 ลำ และเจ้าพระยานครฯ (น้อย) ได้แต่งกำปั่นหลวงอีก 1 ลำ รวม 3 ลำ บรรทุกช้างได้มากกว่า 60 เชือก ขายได้เป็นเงิน 242 ชั่ง 9 ตำลึง 3 บาท หรือ 19,440 บาท ซึ่งขนาดของเรือมีขนาดใหญ่ถึงกับต้องใช้กรรเชียง 2 ชั้น และในภาคใต้ขณะนั้นเมืองตรังเป็นฐานทัพเรือที่ใหญ่ที่สุด เพราะใช้ในการคุมหัวเมืองไทรบุรี และคอยป้องกันพม่าอีกด้วย ในช่วงที่พระยานคร (น้อย) เป็นเจ้าเมืองนครนั้นเมืองตรังได้เปลี่ยนเจ้าเมืองบ่อยครั้ง พระอุไทยธานีปกครองอยู่ถึงปี 2355 ก็มีเรื่องต้องโทษ และถูกถอดออกจากเจ้าเมืองตรัง หลวงช่วยบุญเพ็ชร ปกครองเมืองต่อมา ครั้นพระยาตรังค์นาแขก (สิงห์) ปกครอง มีเหตุการณ์สำคัญอยู่ 2 เรื่อง คือ การเจรจาความเมืองกับอังกฤษที่เมืองตรัง เนื่องจากเจ้าพระยาไทรบุรี (ปะแงรัน) หลบหนีไปพึ่งอังกฤษที่ปีนังเจ้าพระยานคร (น้อย) ขอตัวจากผู้ว่าอังกฤษที่ปีนังไม่ได้เป็นเหตุให้เกิดขัดใจระหว่างไทยกับอังกฤษได้เจรจากันตกลงกันหลายครั้ง
ต่อมาในปี พ.. 2367 ผู้ว่าราชการอังกฤษที่ปีนังได้ส่งร้อยเอกเจมส์โลว์ เดินทางมาขึ้นบกที่ตรัง แล้วมีหนังสือแจ้งไปยังนครศรีธรรมราช เจ้าพระยานคร (น้อย) ส่งพระเสน่หามนตรีไปพบที่เมืองตรัง ครั้นทราบว่าเป็นเรื่องเจรจาขอให้ไทยช่วยอังกฤษรบพม่าก็ได้มีใบบอกเข้าไปยังราชธานี โดยไม่ตอบอังกฤษ จนกระทั่งอังกฤษส่งร้อยเอกเฮนรี่ เบอร์นี่ มาเจรจาที่กรุงเทพฯ ขณะนั้นเจ้าพระยานคร (น้อย) ชุมนุมทัพที่ตรัง เตรียมยกไปตีเประและสลังงอ อังกฤษเกรงว่าถ้าตีได้จะกระทบกระเทือนถึงการค้าของอังกฤษ จึงส่งเรือปืนมาปิดปากแม่น้าตรัง
ปี พ.. 2381 ในรัชกาลที่ 4 กรุงเทพฯ ได้จัดงานถวายพระเพลิงศพ พระสมเด็จพระศรีสุลาไลย พระราชชนนีพระพันปีหลวง พระยาสงขลา เจ้าพระยานคร (น้อย) เดินทางเข้ากรุงเทพฯ ตนกูมะหะหมัด สหัด, ตนกูมะหะหมัด อาเกบและหวันมาหลี เป็นสลัดแขกอยู่ที่เกาะยาว (อยู่ใกล้เกาะภูเก็ต) ถือโอกาสยกทัพเรือเข้าตีเมืองตรังได้ ให้หวันมาลีรักษาเมืองตรัง แล้วก็ไปตีเมืองไทรบุรีได้ พระยาอภัยธิเบศร์ (แสง) และพระเสนานุชิต (นุช) ผู้รักษาเมืองไทรบุรีได้ถอยเข้ามาตั้งที่พัทลุง ตนกูมะหะหมัด สหัด จึงยกทัพเข้าตีเมืองสงขลาและพัทลุง ความทราบถึงกรุงเทพฯ พระยาสงขลาและเจ้าพระยานคร (น้อย) ยกกองทัพมาปราบเหตุการณ์จึงสงบลง ดังนั้นเพื่อลดปัญหาเรื่องไทรบุรีก็ให้ย้ายพระยาไทร คือ พระยาอภัยธิเบศร์ (แสง) มาอยู่ที่พังงา แล้วกวาดแขกเมืองไทรมาพังงาด้วย๓๒ ให้เมืองไทรมีกาลังแต่น้อย ส่วนกาปั่น เรือรบ เรือไล่ ปืนใหญ่ ปืนน้อย ให้พระยาศรีพิพัฒน์เจ้าเมืองสงขลาแบ่งมาไว้ที่เมืองตรังและเมืองสงขลาเสีย เมื่อเจ้าพระยานคร (น้อย) ถึงแก่อนิจกรรมแล้วทางกรุงเทพฯ ก็ยังต้องการให้เมืองตรังเป็นเมืองสำคัญต่อไป จึงได้ตั้งเจ้าหมื่นเสมอใจราช (ชื่น บุนนาค) ออกมาเป็นข้าหลวงที่ภูเก็ต ต่อมา เจ้าหมื่นเสมอใจราชได้เลื่อนยศเป็น พระยามนตรีสุริยวงศ์ (ชื่น บุนนาค) เป็นข้าหลวงใหญ่ทางฝั่งตะวันตก ตั้งกองบัญชาการข้าหลวงใหญ่ที่ตรัง และโอนเมืองตรังขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ ปีนั้นเอง

เมืองตรังช่วงสมัยสมเด็จเจ้าพระยามหาสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค)
ในปี 2423 สมเด็จเจ้าพระยามหาสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ได้คิดออกทำนุบำรุงเมืองตรังในช่วงที่พระยามนตรีสุริยวงศ์ (ชื่น บุนนาค) บุตรชายออกเป็นข้าหลวงใหญ่เพราะเห็นว่าตนเองก็ชราแล้วจึงต้องการสร้างอนุสรณ์ก่อนตายเช่นเดียวกัน เจ้าพระยาสุรวงศ์ไวยวัฒน์ (วร บุนนาค) ออกสร้างเมืองจันทบุรีเสร็จในปี 3 ปี ดังนั้นสมเด็จเจ้าพระยามหาสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) จึงสร้างที่ทำการเจ้าเมืองและที่ชำระคดี โดยนำแบบจากตึกคอนเวอร์เมนต์เฮาส์ของสิงคโปร์มีความยาว 1 เส้น กว้าง 15 ศอก ดังนั้น ภาษีที่พระยามนตรีสุริยวงศ์ (ชื่น บุนนาค) ข้าหลวงใหญ่ได้เก็บจากหัวเมืองชายทะเลตะวันตก และเมืองนครศรีธรรมราช เพื่อส่งให้กรุงเทพฯ ถูกสมเด็จเจ้าพระยามหาสุริยวงศ์นำไปสร้างที่ทำการเจ้าเมืองหมดเป็นเวลาถึง 2 ปี เมื่อกรมพระคลังสมบัติได้เรียกเงินกับเสนาบดีกลาโหม เจ้าพระยาสุรวงศ์ไวยวัฒน์ (วร บุนนาค) ซึ่งทำหน้าที่บังคับบัญชาข้าหลวงใหญ่ คือ พระยามนตรีสุริยวงศ์ (ชื่น บุนนาค) ทั้งสองคนซึ่งเป็นบุตรของสมเด็จเจ้าพระยามหาสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ก็ไม่ทราบว่าจะทวงอย่างไร
ดังนั้น ในปี พ.. 2425 พระยามนตรีสุริยวงศ์จึงขอลาออกจากตำแหน่งข้าหลวงใหญ่ เมืองตรัง เพราะทนสภาพที่ถูกบีบบังคับไม่ไหว สมเด็จเจ้าพระยามหาสุริยวงศ์ จึงได้เปลี่ยนแนวความคิดในการสร้างเมือง มาเป็นการทำนุบำรุงเมืองตรังแทนเมื่อได้รับข้อเสนอแนะจากเจ้าพระยาภานุวงศ์ (ท้วม บุนนาค) และในปีนี้เองปรากฏว่าสมเด็จเจ้าพระยามหาสุริยวงศ์ได้ถึงแก่อสัญกรรม แต่ก่อนถึง อสัญกรรม ได้มอบหมายเมืองตรังให้พระรัตนเศรษฐี (คอซิมกอง) เจ้าเมืองระนองเป็นผู้ดูแลเมืองตรัง และพระยาระนองหรือพระยารัตนเศรษฐี ก็ได้ทำนุบำรุงเมืองตรังแต่ก็ไม่ดีขึ้น เนื่องจากเมืองขาดทรัพยากรธรรมชาติ เช่น แร่ดีบุกมีน้อย สถานที่ทั่วไปเหมาะกับการเกษตรซึ่งต้องใช้เวลาและทุนมาก ดังนั้นในปี พ.. 2428 ก็ได้ลาออกจากผู้ว่าราชการเมืองตรัง เมืองตรังก็เลยอยู่ภายใต้การดูแลของข้าหลวงใหญ่ ซึ่งตั้งกองบัญชาการอยู่ที่ภูเก็ต คือ พระอนุรักษ์โยธา (กลิ่น) และพระสุรินทรามาตย์อยู่สองสมัย พระยาตรังภูมาภิบาล (เอี่ยม ณ นคร) มารับตำแหน่งในปี พ.. 2431 - 2434

เมืองตรังสมัยพระยารัษฎานุประดิษฐ์มหิศรภักดี (คอซิมบี๊ ณ ระนอง)
ในปี 2433 รัชกาลที่ 5 เสด็จประพาสภาคใต้ ราษฎรจานวน 4,000 ครอบครัว ถวายฎีกา ให้พระยาตรังคภูมาภิบาล (เอี่ยม ณ นคร) พ้นตำแหน่งเจ้าเมือง เนื่องจากกดขี่ข่มเหงราษฎรและเลี้ยงโจรผู้ร้าย รัชกาลที่ 5 จึงโปรดเกล้าแต่งตั้ง พระยารัษฎานุประดิษฐ์ฯ (คอซิมบี๊) จากเมืองกระบุรีมาเป็นเจ้าเมืองตรังตั้งแต่ปี 2434 ในช่วงนี้เมืองตรังเจริญมาก เพราะเจ้าเมืองส่งเสริมการเกษตรให้ราษฎรปลูกพืชผักและทาสวนพริก สวนยาง รวมทั้งจัดการจัดตั้งกองตำรวจภูธรขึ้นในเมืองตรัง และซื้อเรือกลไฟไว้ลาดตระเวน ให้ความปลอดภัยทางน้ำ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยในการค้ากับต่างประเทศด้วย และยังตัดเส้นทางคมนาคมระหว่างเมืองพัทลุงมาเมืองตรังถึงท่าน้ำกันตัง ลดปัญหาโจรผู้ร้ายและสลัดรวมทั้งปัญหาชาวจีนที่มักจะชาระคดีกันเอง ทางด้านการค้ากับต่างประเทศได้ส่งสินค้าขายปีนัง
จนกระทั่งเมืองตรังฟื้นฟูเศรษฐกิจได้ดีสู่สภาพเดิม ในปี พ.. 2436 และได้กราบบังคมทูลขอย้ายเมืองตรังไปไว้ที่กันตัง โดยให้เหตุผลว่าเมืองตรังที่ควนธานีไม่เหมาะสมที่จะทำการค้า ยากแก่การทำนุบำรุงให้เจริญรุ่งเรือง ซึ่งเมืองตรังที่กันตังนั้นได้สร้างศาลากลางเป็นตึกใหญ่ 2 ชั้น 2 ข้างศาลากลางมีตึกชั้นเดียว 2 หลัง เป็นศาลหลังหนึ่งเป็นที่ว่าการอำเภอหลังหนึ่ง ปี พ.. 2439 รัฐบาลได้แบ่งท้องที่การปกครองเรียกว่าข้อบังคับลักษณะการปกครองท้องที่ ร.. 115 ได้รวมเมืองตรังและเมืองปะเหลียนเข้าด้วยกัน แบ่งออกเป็น 5 อำเภอคือ อำเภอบางรัก อำเภอเมือง (กันตัง) อำเภอเขาขาว (ห้วยยอด) อำเภอปะเหลียน อำเภอสิเกา มีตำบล 109 ตำบล สำหรับท่าเรือเทียบเรือนั้นเทียบได้เพียง 6 ท่าคือ กันตัง สิเกา กลาเส ท่าพญา หยงสตาร์ เกาะสุกร และยังให้ออกทะเบียนเลขเรือด้วย เพื่อป้องกันการปล้นเรือทั้งได้สร้าง โรงพยาบาลให้มิชชั่นนารีที่ทับเที่ยง
ปี พ.. 2445 พระยารัษฎานุประดิษฐ์ย้ายไปเป็นสมุหเทศาภิบาล มณฑลภูเก็ต เจ้าเมืองตรังคนต่อมานั้นคือ พระยาเสนีณรงค์ฤทธิ์ (ถนอม บุญยเกตุ) .. 2445 - 2448 พระสถลสถานพิทักษ์ (คออยู่เกียด ณ ระนอง) .. 2448 - 2455 พระยาอุตรกิจพิจารณ์ (สุด) ..  2445 - 2456 และพระสุนทรเทพกิจจารักษ์ พ.. 2456 - 2457 เมื่อถึงสมัยพระยารัษฎานุประดิษฐ์ (สิน เทพหัสดินทร์) เมืองตรังก็ย้ายไปอยู่ที่ตำบลบางรัก บ้านทับเที่ยง ซึ่งเป็นที่ตั้งของอำเภอเมืองตรัง จังหวัดตรังในปัจจุบัน

เมืองตรังช่วงหลังพระยารัษฎานุประดิษฐ์ (สิน เทพหัสดินทร์)
ในช่วงสมัยที่พระยารัษฎานุประดิษฐ์ (สิน เทพหัสดินทร์) มาปกครองเมืองตรัง (2457 - 2461) พระวิชิตวงศ์วุฒิไกร (...สุทัศน์ สุทธิสุทัศน์) สมุหเทศาภิบาลมณฑลภูเก็ต ได้กราบบังคมทูลรัชกาลที่ 6 ไปว่าเมืองตรัง ตั้งที่กันตังไม่เหมาะสมในทางยุทธศาสตร์ เนื่องจากว่าข่าวสงครามโลก ครั้งที่ 1 นั้นเรือดำน้ำเยอรมันชื่อเอ็มเดนได้ลอยลำยิงถล่มเกาะปีนัง พระยาวิชิตวงศ์วุฒิไกรเกรงว่าหากเกิดสงคราม อาจจะถูกยิงเช่นปีนัง จึงได้กราบถวายบังคมทูลขอพระราชทานบรมราชานุญาต ย้ายที่ว่าการจังหวัดไปตั้งที่ตำบลทับเที่ยง อำเภอบางรัก เมื่อรัชกาลที่ 6 เสด็จหัวเมืองปักษ์ใต้ ในปี พ.. 2459 มาถึงจังหวัดตรัง ได้มาทำพิธีเปิดโรงเรียนประจำจังหวัดชายและพระราชทานนามว่าวิเชียรมาตุและยังได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ย้ายที่ตั้งที่ทาการเมืองตรังจากตำบลกันตัง มาเป็นตำบลทับเที่ยงอำเภอบางรัก และพระราชทานชื่อที่พักประทับแรมว่า ตำหนักผ่อนกาย ใหม่ในปัจจุบันเป็นบริเวณอนุสาวรีย์พระยารัษฎานุประดิษฐ์มหิศรภักดี (คอซิมบี๊ ณ ระนอง) และที่กันตังนั้น ก็เปลี่ยนชื่อจากอำเภอเมืองเป็นอำเภอกันตัง ต่อมาสมัยของพระยาตรังภูมาภิบาล (เจิม ปัญยารชุม) ปี 2462 ได้สร้างศาลากลางจังหวัดตรังเป็นอาคารไม้ ซึ่งปัจจุบันได้รื้อแล้วสร้างอาคารคอนกรีต 2 ชั้น และมีชั้น 3 อยู่เพียง ช่วงเดียว

ประวัติศาสตร์จังหวัดตราด
ตราประจำจังหวัด

รูปโป๊ะ เรือใบ และเกาะช้าง
คำขวัญประจำจังหวัด
เมืองเกาะครึ่งร้อย พลอยแดงค่าล้ำ
ระกำแสนหวาน หลังอานหมาดี
ยุทธนาวีเกาะช้าง สุดทางบูรพา
สมัยก่อนอยุธยา
เรื่องราวเกี่ยวกับจังหวัดตราด ที่ปรากฏจากเอกสารทางประวัติศาสตร์ ซึ่งรวบรวมได้จากแหล่งต่าง ๆ ที่กระจายอยู่ทั่วไปมีอยู่น้อย ไม่พอที่จะเรียบเรียงให้เป็นประวัติที่สมบูรณ์ได้ ยิ่งกว่านั้นหลักฐานบางส่วนก็คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ดังนั้นประวัติศาสตร์ก่อนสมัยอยุธยาจึงไม่มี หากอนุชนรุ่นหลังได้ค้นคว้าและมีหลักฐานใดทางประวัติศาสตร์เพิ่มเติม ก็ชอบที่จะเรียบเรียงเพิ่มเติมให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นในภายหลังได้

สมัยอยุธยา
ปรากฏหลักฐานทางประวัติศาสตร์จากแผนที่สมัยกรุงศรีอยุธยาซึ่งไม่แน่ชัดว่า จังหวัดตราดเป็นเมืองมาแต่เมื่อใด เพียงมีชื่อว่า "บ้านบางพระ"
ตามหลักฐานที่พระบริหารเทพธานีเขียนไว้ อ้างว่าในสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง (.. 2178) ได้มีการแบ่งหัวเมืองต่าง ๆ ในราชอาณาจักรเป็นเมืองเอก โท ตรี และจัตวา ซึ่งเป็นเมืองชั้นในและชั้นกลาง โดยได้จัดแยกออกเป็น 3 ส่วนคือ หัวเมืองขึ้นเจ้าพระยาจักรีใช้ตราราชสีห์ หัวเมืองขึ้นเจ้าพระยามหาเสนาบดีใช้ตราคชสีห์ และหัวเมืองขึ้นเจ้าพระยาศรีธรรมราชเดโชชาติ ใช้ตราบัวแก้ว ซึ่งในทำเนียบหัวเมืองในสมัยนั้น มีชื่อ "ตราด" ปรากฏอยู่ว่าเป็นหัวเมืองขึ้นต่อเจ้าพระยาศรีธรรมราชเดโชชาติด้วยเมืองหนึ่ง จากหลักฐานนี้อาจแสดงให้เห็นเป็นเบื้องต้นได้ว่า เมืองตราดซึ่งเป็นหัวเมืองชายทะเลนั้น สังกัดอยู่ในฝ่ายการต่างประเทศซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับการคลังด้วย
ในเรื่องเดียวกันนี้ หลวงวิจิตรวาทการ รวบรวมหลักฐานให้เห็นว่า ในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนารถ (.. 1991 - 2031) นั้น ได้มีการจัดแบ่งบริหารราชการแผ่นดินออกเป็น 2 ส่วนคือ ส่วนกลางและส่วนภูมิภาค โดยส่วนกลางจัดแบ่งเป็น 2 ฝ่าย คือ ฝ่ายทหาร มีสมุหพระกลาโหมเป็น ผู้บังคับบัญชา และฝ่ายพลเรือนมีสมุหนายกเป็นผู้บังคับบัญชา สำหรับพลเรือนได้จัดแบ่งรูปการบริหารออกเป็นจตุสดมภ์ (มีรูปเป็นกระทรวง) คือ นครบาลบดี ทำหน้าที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง เกษตราธิบดี ทำหน้าที่เกี่ยวกับการทำมาหากินของราษฎร โกษาธิบดี ทำหน้าที่เกี่ยวกับกิจการคลังและกิจการต่างประเทศ และธรรมาธิบดีหรือธรรมาธิกรณ์ ทำหน้าที่เกี่ยวกับราชการภายในพระบรมมหาราชวังและการพิจารณาคดีความ
ในด้านการบริหารส่วนภูมิภาค ได้จัดแบ่งหัวเมืองต่าง ๆ ออกเป็นหัวเมืองเอก โท ตรี และจัตวา มีผู้ว่าราชการเมืองซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งให้ไปควบคุมดูแล จากหลักฐานที่หลวงวิจิตรวาทการรวบรวมไว้นี้ ปรากฏว่ามีชื่อ "ตราด" เป็นหัวเมืองขึ้นตรงต่อโกษาธิบดี ซึ่งหลักฐานนี้ปรากฏตรงกันกับหลักฐานที่พระบริหารเทพธานีอ้างไว้ แสดงให้เห็นว่า "ตราด" น่าจะเป็นเมืองเก่าแก่มากกว่า 300 ปีเมืองหนึ่ง ซึ่งอย่างน้อยที่สุดจะต้องเป็นชื่อที่ปรากฏในทำเนียบหัวเมืองมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททองนั้นแล้ว
จากหลักฐานนี้ต่อมายังไม่ปรากฏเรื่องราวของเมืองตราดอยู่ในเอกสารใด ๆ อีก จนกระทั่งถึงสมัยอยุธยาตอนปลาย ซึ่งเป็นระยะที่กำลังเกิดกลียุคขึ้น เพราะใกล้เสียกรุงศรีอยุธยาให้แก่พม่า

สมัยกรุงธนบุรี
ในปี พ.. 2310 ปีเดียวกันกับที่กรุงศรีอยุธยาเกิดความคับขันในบ้านเมือง สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชในสมัยที่เป็นนายทัพอยู่ในกรุงศรีอยุธยานั้น เห็นว่า กองทัพไทยอ่อนกำลังลงและไม่มีทางที่จะต่อสู้กองทัพพม่าที่ล้อมไว้ได้แล้ว จึงได้รวบรวมไพร่พลตีฝ่าลงล้อมออกมาได้ และได้รวบรวมไพร่พลจานวนหนึ่งทางทิศตะวันออก โดยได้ยกกาลังเข้ามาถึงเมืองตราดด้วยมีปรากฏหลักฐานตามพระราชพงศาวดารว่า
"...หลังจากพระเจ้าตากตีเมืองจันทบุรีได้แล้ว (เมื่อวันอาทิตย์ เดือน 7 ปีกุน พ.. 2310) ก็ได้เกลี้ยกล่อมผู้คนให้กลับคืนมายังภูมิลำเนาเดิม...ครั้นเห็นว่าเมืองจันทบุรีเรียบร้อยอย่างเดิม จึงยกกองทัพลงเรือไปยังเมืองตราด พวกกรมการและราษฎรก็พากันเกรงกลัว ยอมอ่อนน้อมโดยดีทั่วทั้งเมือง และขณะนั้นมีสำเภาจีนมาทอดอยู่ที่ปากน้ำเมืองตราดหลายลำ พระเจ้าตากให้เรียกนายเรือมาเฝ้า พวกจีนขัดขืนแล้วกลับยิงเอาข้าหลวง พระเจ้าตากทราบก็ลงเรือที่นั่งคุมเรือรบลงไปล้อมสำเภาไว้แล้วบอกให้พวกจีนมาอ่อนน้อมโดยดี พวกจีนก็หาฟังไม่ กลับเอาปืนใหญ่น้อยระดมยิง รบกันอยู่ครึ่งวันพระเจ้าตากก็ตีได้เรือสำเภาจีนทั้งหมด ได้ทรัพย์สิ่งของเป็นของกองทัพเป็นอันมาก พระเจ้าตากจัดการเมืองตราดเรียบร้อยแล้ว ก็กลับขึ้นมาตั้งอยู่ ณ เมืองจันทบุรี..."
เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชได้ขึ้นครองราชสมบัติแล้ว ในปี พ.. 2313 เขมรยกทัพมาตีเมืองตราดซึ่งเป็นระยะที่พระเจ้ากรุงธนบุรีกาลังยกทัพไปตีเชียงใหม่ แต่ในที่สุดทัพเขมรก็ถูกตีพ่ายไปปรากฏหลักฐานตอนนี้ว่า
"….. 2313 เขมรยกทัพมาตีเมืองทุ่งใหญ่ (ตราด) เมืองจันทบุรี ในระหว่างที่สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรียกทัพไปตีเมืองเชียงใหม่ แต่กองทัพเมืองจันทบุรีได้ตีกองทัพเขมรแตกพ่ายไป…"
จากข้อความนี้จะเห็นว่ามีคำว่า "เมืองทุ่งใหญ่" ซึ่งพระบริหารเทพธานีได้แสดงอ้างอิงว่า คือ "ตราด" ทำให้เห็นได้ว่า "ทุ่งใหญ่" กับ "ตราด" นั้นคือเมืองเดียวกัน จากหลักฐานนี้ถ้าพิจารณาถึงสภาพในยุคหลัง ๆ ต่อมาแล้ว คำว่า "ทุ่งใหญ่" คือชื่ออำเภอทางเหนือของเมืองตราด ซึ่งติดต่อกับจันทบุรี แสดงให้เห็นว่าเขมรคงจะยกทัพมาทางตอนเหนือของเมืองตราดแล้วตีเรื่อยไปจนถึงเมืองจันทบุรีนั่นเอง คงจะมิได้ยกมาโดยทางเรือแต่ประการใด
ต่อมาในปี พ.. 2314 กองทัพเขมรก็ยกทัพมาตีเมืองตราดอีก ปรากฏตามพระราชพงศาวดารว่า
"ครั้นปีเถาะ ตรีศก จุลศักราช 1133 นักพระโสตเป็นใหญ่ในเมืองเปียมมีคุณแก่ พระนารายณ์ราชา แต่ยังชื่อนักองตนมาแต่ก่อน นักองตนยอมเป็นบุตรเลี้ยง ครั้นนักองตนมีไชยชนะพระรามราชา ได้เป็นใหญ่แต่ผู้เดียวแล้ว นักพระโสตทัตก็มีความกำเริบ เกณฑ์ไพร่พลแขวงเมืองบันทายมาศและเมืองกรังเป็นกองทัพมาตีเมืองตราด เมืองจันทบุรี กวาดต้อนเอาครอบครัวไปเป็นอันมาก เจ้ากรุงธนบุรีทรงพระพิโรธจึงดำรัสให้จัดกองทัพบก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (คือพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก) เวลานั้นดำรงพระยศเป็นเจ้าพระยาจักรี ได้เป็นแม่ทัพยกไปทางเมืองปราจีนบุรี…"
การยกไปตีเขมรของเจ้าพระยาจักรีในครั้งนี้ ปรากฏว่าได้ตามตีเขมรต่อไปจนได้เมืองบันทายมาศบริบูรณ์ และบาพนมอีกด้วย
จากประวัติศาสตร์ตอนนี้ แสดงให้เห็นว่า สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชได้รวบรวมผู้คนในเมืองตราดได้อย่างสิ้นเชิง โดยพระองค์ ได้ปราบพวกจีนที่ขัดขืนสำเร็จ แต่ไม่แน่ชัดว่าพระองค์ตั้งทัพอยู่ที่ใดตอนหนึ่งของประวัติศาสตร์ช่วงนี้เองสันนิษฐานว่า กองทัพของพระเจ้ากรุงธนบุรี พักไพร่พลอยู่ที่วัดโยธานิมิต (วัดโบสถ์) และเพื่อเป็นการเทอดพระเกียรติแด่อดีตพระมหากษัตราธิราช ทางราชการได้ประกาศยกย่องวัดโยธานิมิตเป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดสามัญ ตั้งแต่ปี พ.. 2523 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบันและเป็นพระอารามหลวงวัดเดียวในจังหวัด นับว่าใช้อุโบสถเก่าของวัดนี้เป็นที่ถือน้ำพิพัฒน์สัตยา ของบรรดาข้าราชการในอดีต และมีการขึ้นบัญชีเป็นพระอุโบสถเก่าโบราณสถานด้วย

สมัยรัตนโกสินทร์
เมืองตราดสมัยแรก
การร่วมรบในกองทัพในสมัยรัชกาลที่ 1 ถึงรัชกาลที่ 3 (.. 2325 - 2394)
เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงปราบดาภิเษกขึ้นครองราชสมบัติเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรีในปี พ.. 2325 มีการแบ่งหัวเมืองต่าง ๆ ในพระราชอาณาจักรใหม่ขึ้นต่อฝ่ายต่าง ๆ เมืองตราดเป็นเมืองหนึ่งซึ่งขึ้นตรงต่อ "กรมท่า" ปรากฏข้อความตอนนี้ว่า
"…จึงให้แบ่งหัวเมืองปักษ์ใต้ฝ่ายตะวันตกขึ้นต่อกรมท่า 19 เมือง กรมมหาดไทยรวม 20 เมืองกับเมืองขึ้นมหาดไทยยังคงเมืองขึ้นกรมท่าอีก 8 เมือง คือ เมืองนนทบุรี 1 เมืองสมุทรปราการ 1 เมืองสาครบุรี 1 เมืองชลบุรี 1 เมืองบางละมุง 1 เมืองระยอง 1 เมืองจันทบุรี 1 เมืองตราด 1…"
แสดงให้เห็นว่าเมืองตราดยังคงสังกัดอยู่กับฝ่ายกิจการต่างประเทศและการคลัง ในฐานะเป็นหัวเมืองฝั่งทะเลและเมืองท่าแห่งหนึ่งอยู่ดังเช่นที่ปรากฏมาตั้งแต่สมัยอยุธยา โดยมิได้เปลี่ยนแปลงแต่ประการใด
ในรัชสมัยนี้เององเชียงสือซึ่งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงชุบเลี้ยงไว้ได้หลบหนีกลับไปยังประเทศญวนเพื่อเอาเมืองคืนในปี พ.. 2328  ในการไปขององเชียงสือนี้ปรากฏว่าได้หลบหนีมาอยู่ที่ "เกาะกูด" ในเมืองตราดเป็นเวลานาน มีข้อความปรากฏตามพระราชพงศาวดารว่า
"…องเชียงสือก็มีความยินดี ใช้ใบไปถึงเรือใหญ่ที่เกาะสีชัง จึงปรึกษาด้วยองญวนทั้งปวงก็บัดนี้เราจะพักอยู่ที่ไหนดี องจวงจึงว่าถ้าไปพักอยู่ที่เกาะกูดเห็นจะดีกว่าที่อื่นองเชียงสือได้ฟังดังนั้นก็เห็นด้วยจึงให้เอาตัวนายจันทร์ นายอยู่ นายเมือง ไปเรือลำเดียวกับองเชียงสือองเชียงสือให้บ่าวไพร่องเชียงสือไปเข้ารวมเป็นเรือ 5 ลำ ออกเรือใช้ใบไปพร้อมกันในเวลากลางคืนวันนั้น ใช้ใบไป ๗ วันถึงเกาะกูดฯ เวลานั้นหามีผู้คนอยู่ไม่…"
องเชียงสือพักอยู่ที่เกาะกูดเป็นเวลานานถึง 2 ปี มีความอดอยากมาก ทางกรุงเทพฯ จึงต้องส่งเสบียงไปช่วยเหลือในปี พ.. 2330 ดังปรากฏข้อความในพระราชพงศาวดารว่า
"…ฝ่ายองเชียงสือซึ่งหนีไปตั้งอยู่ที่เกาะกูดหมดสิ้นเสบียงอาหารจนหมดสิ้นจนกินแต่เนื้อเต่ากับมันกลอยฝ่ายที่กรุงเทพมหานครทรงทราบว่าองเชียงสือหนีไปอยู่เกาะกูดจึงโปรดให้เรือตระเวนหลายลำพร้อมด้วยปืนและกระสุนดินดำให้กรมการเมืองตราดส่งไปพระราชทานแก่องเชียงสือที่เกาะกูดให้เป็นกำลังและให้ช่วยลาดตระเวนสลัดด้วย ครั้นองเชียงสือได้รับพระราชทานเรือลาดตระเวนและเครื่องศัตราวุธก็พาสมัครพรรคพวกลงเรือไปตีเอาเมืองเขมา เมืองประมวนสอได้ แล้วแต่งให้เรือออกไปลาดตระเวนสกัดจับสลัดญวนได้บ้างยอมเข้ามาสวามิภักดิ์องเชียงสือบ้าง แล้วองเชียงสือให้ฆ่านายสลัดเสียคนหนึ่ง เอาศรีษะใส่ถังมอบพระยาราชาเศรษฐีส่งเข้ามากรุงเทพมหานคร และเมื่อองเชียงสือพักอยู่ที่เกาะกูดนั้นได้แต่งให้องจวงลอบไปสืบการบ้านเมืองตลอดถึงไซ่งอน องจวงกลับมาแล้วแจ้งว่าได้ไปเกลี้ยกล่อมผู้คนเมืองพระตะพังสมัครเข้าด้วยเป็นอันมาก แล้วองจวงจึงพาองเชียงสือไปพักอยู่ที่ปากน้ำเมืองป่าสัก…"
ในรัชกาลสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นระยะที่มีราชการทัพเกี่ยวกับญวน ลาว และเขมรติดต่อกันเป็นระยะยาวปรากฏหลักฐานว่าเมืองตราดได้เข้าร่วมกับราชการทัพนี้ตลอดเวลา มีเหตุการณ์เกี่ยวกับวีรกรรมของทางเมืองตราดปรากฏอยู่ด้วยมากมาย ซึ่งอาจลำดับเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องได้ดังต่อไปนี้
ในปี พ.. 2369 เมื่อเจ้าอนุวงศ์แห่งเวียงจันทน์เป็นกบฏ ยกทัพเข้ามาทางนครราชสีมานั้นได้โปรดเกล้าฯ ให้พระยาราชนิกูล 1 พระยารามกำแหง 1 พระราชวังเมือง 1 พระยาจันทบุรี 1 คุมกองทัพเมืองจันทบุรี เมืองระยอง เมืองตราด พลหัวเมืองฝ่ายทะเลตะวันออกห้าพัน ขึ้นไปทาง พระตะบองบ้าง ทางเมืองสุรินทร์เมืองสังขะบ้าง เกณฑ์เขมรป่าดงไปด้วยห้าพันให้ยกทัพไปตีเจ้าราชบุตร ณ เมืองนครจำปาศักดิ์ แล้วให้เป็นทัพกระหนาบทั้งฝ่ายทางตะวันออกคือทัพพระยาราชสุภาวดี (สิง) ด้วย…"
ต่อมาในปี พ.. 2376 เกิดจลาจลขึ้นในเมืองญวน ทางหัวเมืองต่าง ๆ ได้ส่งคนออกไปสืบราชการ แจ้งเข้ามาทางพระนคร บอกความเป็นไปของทางเมืองญวนปรากฏข้อความตอนนี้ว่า
"…ในปีมะเส็ง เบญจศก จุลศักราช 1195 ครั้งนั้นกรมการเมืองพระตะบอง เมืองเสียมราฐ เมืองจันทบุรี เมืองตราด ต่างพากันแต่งขุนหมื่นกับไพร่ไปสืบราชการที่เมืองเขมรและเมืองญวนต่าง ๆ นั้น สืบได้ข้อราชการเมืองญวนมาทั้งสี่เมือง ๆ จึงมีใบบอกกิจการบ้านเมืองเข้ามายังกรุงเทพฯ ข้อความในใบบอกทั้งสี่หัวเมืองนั้นต้องกัน ครั้งนั้นมีพวกจีนลูกค้าที่อยู่ ณ เมืองไซ่ง่อนและเมืองล่องโห้ ซึ่งเป็นหัวเมืองขึ้นฝ่ายญวน พวกจีนในเมืองทั้งสองตำบลมีข้าศึกที่เกิดจลาจลขึ้นในเมืองไซ่ง่อนหนีเข้ามาอาศัยอยู่ที่เมืองตราดบ้าง เมืองจันทบุรีบ้าง กรมการเมือง ทั้งสองเมืองบอกส่งพวกจีนที่หนีมาแต่เมืองญวนนั้นเข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯ เจ้าพระยาพระคลัง เสนาบดีให้ล่ามพนักงานไต่ถามพวกจีนเหล่านั้น ๆ ให้การต้องคำกันทุกคน และคำให้การพวกจีนและหนังสือบอกเมืองเสียมราฐ เมืองพระตะบอง เมืองตราด เมืองจันทบุรี ทั้งสี่เมืองต้องกันกับคำให้การ…"
ในครั้งนั้นจงโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยาพระคลังและเจ้าพระยาบดินทรเดชายกกองทัพไปรบญวน มีข้อความที่เกี่ยวข้องกับเมืองตราดว่า
"…โปรดเกล้าให้เจ้าพระยาคลัง (ดิศ) ซึ่งว่าที่สมุหพระกลาโหมนั้นถืออาญาสิทธิ์เป็น แม่ทัพเรือคุมไพร่พลหมื่นห้าพันบรรทุกเรือรบมีชื่อในกรุงออกไปเกณฑ์เลขไทยเมืองตราด-เมืองจันทบุรี และเลขหัวเมืองเขมรที่เมืองกาปอดและเมืองเขมรป่ายางรวมกันอีกห้าพันรวมเป็นสองหมื่น ในทัพเรือนั้นให้ยกไปตีเมืองบันทายมาศฝ่ายญวนให้แตกให้จงได้ให้เจ้าพระยาพระคลังฟังบังคับบัญชา เจ้าพระยาบดินทรเดชาแม่ทัพบกด้วยในข้อราชการศึกที่จะยกเข้าตีญวนนั้น…"
การเกณฑ์กองทัพของเจ้าพระยาพระคลังในครั้งนั้นกระทำดังนี้คือ "จัดให้เจ้าพระยาพลเทพเป็นแม่ทัพหน้า ให้พระยาราชวังสันเป็นทัพนำหน้าเจ้าพระยาพลเทพ ให้พระยาอภัยโนฤทธ์พระยาราชบุรี พระยาระยอง พระยาตราด พระยานครไชยศรี พระยาสมุทรสงคราม ทั้งนี้เป็นปีกซ้ายขวาของทัพหน้า…"
เมื่อยกทัพเรือเข้าตีปรากฏว่าในระหว่างศึกกันในลำน้ำนั้น บรรดานายทัพนายกองเหล่านั้นพากันทอดสมอเรือเสีย เพราะเห็นเรือญวนขวางกั้นอยู่เต็มลำคลอง ทำให้เจ้าพระยาบดินทรเดชาต้องทำการรบทางบกไปแต่ฝ่ายเดียว เป็นการเสียหายแก่ราชการทัพอย่างยิ่ง จึงมีการพิจารณาโทษบรรดาแม่ทัพนายกองเหล่านั้น ปรากฏข้อความว่า
"…การที่เรือรบไทยถอนสมอไม่ขึ้นนั้นเป็นเพราะขุนนางผู้ใหญ่ก่อการก่อน จะขอออกชื่อไว้ให้ปรากฏที่เป็นคนมียศหัวเหน้าก่อการขลาดนั้นคือ เจ้าพระยาพลเทพ ชื่อ ฉิมโจโฉ 1 พระยาเดโชท้ายน้ำ 1 พระยาราชวังสัน 1 พระยาเพ็ชรบุรี 1 พระยาราชบุรี 1 พระยาเทพวรชุน 1 พระยาอภัยโนฤทธิ์ชื่อบุนนาก 1 พระยาจันทบุรี 1 พระยาตราด 1 พระยาระยอง 1 พระยานครไชยศรี 1 พระยาสมุทรสงคราม 1 พระยาทิพโกษา 1 พระยาวิสูตรโกษา 1 พระยานเรนทรฤทธิ์โกษา แขกจาม 1 พระยาไตรโกษา 1 ออกชื่อแต่ 16 คนนี้ที่เป็นขุนนางผู้ใหญ่ทั้งสิ้น…"
ต่อมาเมื่อพระยาบดินทรเดชาได้เข้าอยู่ที่เมืองโจดกแล้ว จึงให้ "พระยาตราด" คุมพล เมืองตราดทั้งสิ้นไปตั้วสิวซ่อมแซมเรือรบเก่าของเขมรที่นักองจันทร์ขึ้นไว้ตกค้างอยู่ที่เมืองกำปอดและเมืองกะพงโสมนั้นมีอยู่หลายสิบลำ ถ้าจะเลือกแต่ที่พอจะใช้ได้คงจะได้เรือรบเกือบร้อยลำ ถ้าพระยาตราดทำการซ่อมแซมเรือรบเก่าเขมรเสร็จแล้วได้มากน้อยเท่าใดให้คุมมาส่งไว้ในเมืองบันทายมาศ…"
ในขณะนั้นทางเขมรก็คิดตั้งตัวเป็นกบฏขึ้น พาสมัครพรรคพวกโจรเข้ามาลอบยิงไพร่พลที่คุมเรือลำเลียงเสบียงอาหารล้มตายไปเป็นอันมาก เจ้าพระยาพระคลังจึงมีคาสั่งให้ พระปลัดเมืองตราดบุตรผู้ใหญ่พระยาจันทบุรีและพี่ชายต่างมารดากับหลวงยกกระบัตร "คุมไพร่พลสามร้อยกองหนึ่ง แล้วให้เป็นนายทัพบกไปติดตามเรือลำเลียงเสบียงอาหารที่เขมรตีไว้คืนมาให้จงได้ ถ้าไม่ได้เสบียงคืนมาก็ให้ตามไปจับเขมรเหล่าร้ายที่เมืองกำปอดมาให้ได้มาบ้าง ให้พระปลัดรีบยกไปทางบกก่อนโดยเร็ว แล้วสั่งให้หมื่นสิทธิสงคราม นายด่านเมืองตราดคุมไพร่พลสองร้อยคนเป็นนายทัพบกเพิ่มเติมไปติดตามเรือลำเลียงอีกกองหนึ่งแต่ให้ไปทางด้านตะวันตก ให้ยกไปรวมกันกับพระปลัดที่เมืองกำปอดข้างเหนือ…" พระปลดเมืองตราดยกไปถึงลำน้ำแห่งหนึ่งชื่อ ท่าช้างข้าม เป็นเวลาพลบค่าจึงหยุดพักผ่อน พวกเขมรในเมืองกาปอดจึงเข้าลอบโจมตี รุ่งขึ้นพระปลัดเมืองตราดจึงรวบรวมไพร่พลที่เหลือเดินทางต่อไปก็ถูกเขมรลอบโจมตีอีก ทำให้ไพร่พลล้มตายลงเป็นอันมาก แต่กองทัพของหมื่นสิทธิสงครามมาพบเข้าจึงช่วยไว้ได้ และรับพระปลัดเมืองตราดและไพร่พลที่รอดตายรวม 35 คน เข้าไว้ ยกทัพเดินทางต่อไป ได้ปะทะกับกำลังฝ่ายเขมรและจับพวกเขมรได้ 14 คน สอบสวนด้วยวิธีการต่าง ๆ นานาแล้วได้ความว่า "พระคะเชนทรพิทักษ์เขมรนายกองช้างของนักองจันทร์ ตั้งให้คุมคนเลี้ยงช้างอยู่ที่เมืองกำปอดนั้น พระคะเชนทรพิทักษ์ท้ารบว่ากองทัพไทยแตกพ่ายญวนมาแล้วและกองลำเลียงไทยบรรทุกข้าวปลาอาหารมาถึงเมืองกำปอด ติดน้ำยังกำลังเข็นเรืออยู่ที่ในลำคลอง พระคะเชนทรพิทักษ์ เห็นว่าได้ทีมีช่อง จึงได้ชวนไพร่พลชาวบ้านป่าที่อดอยากขัดสนเสบียงนั้นได้เจ็ดสิบแปดสิบคน แล้วพากันมาตีปล้นเรือเสบียงได้เรือยี่สิบสามลำ…"
จากเอกสารนี้ปรากฏข้อความต่อไปนี้ว่า พระคะเชนทรพิทักษ์นั้นเมื่อกระทำการเช่นนั้นแล้ว คิดเกรงกลัวกองทัพไทยจะยกติดตามมา จึงแต่งให้คนไปซุ่มโจมตีอยู่ดังกล่าวข้างต้น เมื่อสอบสวนได้ความดังนั้นหมื่นสิทธิสงครามนายด่านเมืองตราดจึงยกเข้าล้อมพระคะเชนทรพิทักษ์และจับตัวได้พร้อมทั้งบุตรภรรยาและครอบครัว จึงให้เขมรเชลยขนข้าวปลาอาหารที่เขมรตีชิงเอาไปนั้นกลับคืนมาได้รวม 18 ลำ เสียหายไปเพราะพวกเขมรกระทุ้งท้องเรือจมไป 5 ลาe จากนั้นจึงลำเลียงเสบียงอาหารทั้ง 18 ลำนั้นส่งไปยังเมืองบันทายมาศ
คุณความดีที่หมื่นสิทธิสงครามกระทำในครั้งนั้น เจ้าพระยาพระคลังได้รายงานให้เจ้าพระยาบดินทรเดชาทราบทั้งหมด รวมทั้งความผิดพลาดของหลวงยกกระบัตรเมืองจันทบุรีซึ่งคุมเรือเสบียงอาหารไปถูกเขมรซุ่มโจมตีแล้วเอาตัวรอด ปล่อยให้ไพร่พลสู้รบตามลำพังจนเสียแก่เขมรไปนั้น และเรื่องที่พระปลัดเมืองตราดพาไพร่พลเมืองตราดไปตายถึง 26 คนเหลือกลับมาเพียง 34 คนนั้นด้วย เจ้าพระยาบดินทรเดชาจึงมีบัญชาให้พิจารณาโทษผู้กระทำความผิด โดยให้ประหารชีวิตหลวงยกกระบัตร ส่วนพระปลัดเมืองตราดถือว่ามีความผิดไม่มากนัก ให้เฆี่ยนหลัง 60 ทีหรือ 30 ที แล้วตระเวนรอบค่าย 3 วัน ส่วนการลดหรือถอดบรรดาศักดิ์อย่างไรให้พิจารณาเอง เจ้าพระยาพระคลังจึงให้ควบคุมตัวหลวงยกกระบัตรเมืองจันทบุรีกับพระปลัดเมืองตราดส่งไปให้เจ้าพิจารณาเอง เจ้าพระยาพระคลังจึงให้ควบคุมตัวหลวงยกกระบัตรเมืองจันทบุรีกับพระปลัดเมืองตราดส่งไปให้เจ้าพระยาบดินทรเดชาทำโทษ เนื่องจากตนไม่กล้าฆ่าตามคำสั่ง เพราะ "กลัวบาปเกรงกรรมจะตามไปชาติหน้า"
ในครั้งนั้นเจ้าพระยาบดินทรเดชาจึงโทษผู้กระทำผิด โดยประหารชีวิตหลวงยกกระบัตรเมืองจันทบุรี สาหรับพระปลัดเมืองตราดให้เฆี่ยนหลังหกสิบทีแล้ว "ลดฐานานุศักดิ์ลงคงเป็นหลวงยกกระบัตรเมืองจันทบุรีแทนที่หลวงยกกระบัตรชื่อแก้วที่มีความผิดฆ่าเสียนั้นแล้ว" ส่วนหลวงสิทธิสงครามซึ่งทำความดีไว้นั้น ได้มีหนังสือไปยังเจ้าพระยาพระคลังว่า "…ให้เจ้าคุณพระคลังตั้งหมื่นสิทธิสงครามนายด่านเมืองตราด ให้มอบถาดโคนโทน้ำทองให้แก่เขาเป็นเครื่องยศ แล้วให้มีใบบอกไปในกรุงเทพฯ ด้วย…" เจ้าพระยาพระคลังได้ตั้งหมื่นสิทธิสงครามเป็นพระปลัดเมืองตราด ส่วนพระปลัดเมืองตราดคนเดิมถูกลดตำแหน่งลงเป็นหลวงยกกระบัตรเมืองจันทบุรีนั้น ขณะที่ถูกคุมตัวส่งไปยังเจ้าพระยาพระคลังได้กระโดดน้าตายเสียก่อน
พระปลัดเมืองตราดคนใหม่นี้ได้รับคาสั่งให้คุมไพร่พลไปรับเรือรบที่พระยาตราดไป ตั้งซ่อมแซมอยู่ที่เมืองกำปอดและเมืองกะพงโสมเจ็ดสิบลำ คุมไปส่งที่เมืองบันทายมาศ
เรื่องราวของหมื่นสิทธิสงคราม ซึ่งต่อไปได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระปลัดเมืองตราด ดังกล่าวนี้อาจจะสอดคล้องกับเรื่องราวที่เคยมีผู้เขียนไว้ในเรื่องราวเกี่ยวกับจังหวัดตราดตอนนี้ว่า มีชาวท่ากุ่มคนหนึ่งถูกเกณฑ์ ไปในกองทัพครั้งนี้ด้วย ได้รับเลื่อนยศเป็น "หมื่นคง" ได้ทาการสู้รบอยู่เข้มแข็งในกองทัพมากบุคคลนี้กล่าวกันว่าเป็นต้นตระกูล "กุมภะ" เมื่อมีเรื่องราวสอดคล้องกันเช่นนี้ อาจสันนิษฐานได้ว่า เป็นคน ๆ เดียวกันก็ได้
ในราชการสงครามที่เกี่ยวกับเขมรและญวนในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวนี้ เมืองตราดมีบทบาทในการร่วมรบด้วยทุกครั้งจนสิ้นรัชกาล

เมืองตราดสมัยเปลี่ยนแปลง
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นช่วงเริ่มต้นแห่งการเปลี่ยนแปลงของบ้านเมืองครั้งสำคัญนั้น มีเรื่องราวเกี่ยวกับเมืองตราดอยู่ไม่มากนัก ที่สำคัญได้แก่ การตั้งเมือง ปัจจันตคีรีเขตต์และการแบ่งราชการปกครองหัวเมือง
ในปี พ.. 2398 (.. 1217) ซึ่งเป็นปีที่ 5 แห่งการขึ้นครองราชย์ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้มีพระบรมราชโองการ ให้ตั้งเกาะซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเมืองตราดมาก่อน ขึ้นเป็นเมืองใหม่ โดยพระราชทานนามเมืองนี้ว่า เมืองปัจจันตคีรีเขตต์ (เกาะกง) เมื่อจัดตั้งเมืองนี้ขึ้นมาแล้ว เมืองปัจจันตคีรีเขตต์จึงเป็นเมืองหน้าด่านแทนเมืองตราด เพราะเป็นเมืองที่มีเขตติดต่อกับเขมรและญวน
รัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีการแบ่งหัวเมืองต่าง ๆ ในพระราชอาณาจักรให้ขึ้นต่อกรมมหาดไทย กรมพระกลาโหม และกรมท่า ตามประกาศพระบรมราชโองการ ประกาศข้อความต่อไปนี้
"ข้าพระพุทธเจ้า พระยาราชวรานุกูลฯ ขอพระราชทานน้อมเกล้าถวายคำนับบังคมทูลกระหม่อมทราบ ฝ่าพระบาททรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ข้าพระพุทธเจ้าว่าราชการในกรมนานั้น พระเดชพระคุณหาที่สุดมิได้ และในข้อพระราชบัญญัติของนา มีว่า เสนาที่จะเดินประเมินนาหัวเมืองชั้นใน ชั้นกลาง ชั้นนอกนั้น ข้าพระพุทธเจ้ารับใส่เกล้าฯ จัดหัวเมืองขึ้นกรมมหาดไทย กรมพระกลาโหม กรมท่าเป็นสามชั้นดังนี้ นั้นนอก เมืองขึ้นกรมมหาดไทยเมืองขึ้นกรมพระกลาโหมเมืองขึ้นกรมท่า เมืองระยอง 1 จันทบุรี 1 เมืองตราด 1 รวม 3…
ข้อความตามประกาศนี้ แสดงถึงสังกัดของเมืองตราดยังขึ้นกับกรมท่าอยู่ต่อไปอีก และต่อมาก็ไม่ปรากฏว่าได้มีการเปลี่ยนแปลง จนกระทั่งมีการปรับปรุงการปกครอง แบ่งเป็นกระทรวง ต่าง ๆ ในส่วนกลางขึ้น
ได้มีการแต่งตั้ง "เจ้าเมืองกรมการ" มาปกครองดูแล โดยมีประกาศตั้งชื่อเจ้าเมืองในสมัยนั้นไว้ดังนี้
"เมืองขึ้นกรมท่าเมืองตราด พระยาพิพิธสมบัต แปลงว่า พระยาพิพิธฤทธิเดชวิเศษ สิงหนาทแล้วแปลงว่า พระยาพิพิธภักดีศรีสมบัติ แล้วแปลงอีกว่า พระยาพิพิธพิไสยสุนทรการหลวงราชภักดีสงครามแปลงว่า พระวรบาทภักดีศรีสงคราม ปลัด หลวงศรีสงคราม แปลงว่า หลวงรามฤทธิรงค์ ยกกระบัตรตั้งปลัดจีนขึ้นใหม่อีกนาย 1 พระยาปราณีจีนประชา ปลัดจีนเมืองปัจจันตคีรีเขตต์เดิมหลวงเกาะกง ทรงตั้งใหม่ว่า พระพิไชยชลธี หลวงคิรีเนมิททวีปปลัด
เมืองตราด ในสมัยนั้นจึงมีกรมการเมือง 4 คน คือ เจ้าเมือง ปลัดเมือง ปลัดเมืองฝ่ายจีน (ปลัดจีน) และยกกระบัตรเมือง ส่วนเมืองปัจจันตคีรีเขตต์ มีกรมการเมือง 2 คน คือ เจ้าเมืองและปลัดเมือง
ในสมัยรัชกาลที่ ๔ ขึ้นครองราชย์เป็นต้นมาประเทศไทยถูกคุกคามจากประเทศจักรวรรดินิยมตะวันตกอย่างหนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งอังกฤษและฝรั่งเศส ทาให้ประเทศไทยจาเป็นต้องปรับปรุงต้องปรับปรุงฐานะทางการทหารและกิจการฝ่ายพลเรือนให้ทันสมัย และเข็มแข็งยิ่งขึ้น
ในปี พ.. 2422 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้โปรดเกล้าฯ ให้พระองค์เจ้าสายสนิทวงศ์จัดตั้งสถานีทหารเรือขึ้นตามชายฝั่งทะเลด้านตะวันออก สถานีทหารเรือในครั้งนั้นได้จัดตั้งขึ้นที่ ชลบุรีบางพระ บางละมุง ระยอง แกลง จันทบุรี ขลุง ตราด เกาะกงและเกาะเสม็ดนอก ซึ่งจากผลการดำเนินงานนี้ที่ให้เมืองตราดและเกะกงกลายสภาพมาเป็น "สเตชั่นทหารเรือ" สาหรับเป็นด่านป้องกันภัยที่จะคุกคามจากฝรั่งเศสทางทะเล
ต่อมาในปี พ.. 2435 ฝรั่งเศสได้เริ่มดำเนินการทางทหารใช้กาลังเข้าบีบบังคับไทยโดยยกกองทัพมาเข้าขับไล่ทหารไทยให้ถอยร่นออกจากฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงและส่งเรือรบเข้ามาจอดอยู่ในกรุงเทพฯ ทำให้ความยุ่งยากทางชายแดนไทยเริ่มทวีความรุนแรงขึ้น จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งกรรมการปรึกษาการป้องกันพระราชอาณาเขตขึ้น และจัดกองบัญชาการทัพออยู่ตามหัวเมืองชายทะเลแต่ละด้านขึ้นด้วย ทางด้านหัวเมืองฝ่ายตะวันออกซึ่งขึ้นอยู่กับกระทรวงต่างประเทศ (เดิมขึ้นกรมท่า) นั้น ในปี พ.. 2436 ได้แต่งตั้งให้พลเรือจัตวาพระยาชลยุทธโยธินทร์ (ANDER DU PLESSIS DE RICHELIEU) เป็นผู้จัดการป้องกันพระราชอาณาเขตทางหัวเมืองฝ่ายตะวันออก ทางกระทรวงต่างประเทศได้มีคาสั่งมายังผู้ว่าราชการเมืองแถบนี้ ซึ่งรวมทั้งเมืองตราดด้วย ให้ช่วยพระยาชลยุทธโยธินทร์จัดการทุกอย่างที่เกี่ยวกับการป้องกันพระราชอาณาเขต
สำหรับด้านเมืองตราดและเกาะกงนั้น ปรากฏตามหนังสือของพระยาชลยุทธโยธินทร์ ซึ่งนาขึ้นกราบทูลเสนาบดีกระทรวงการต่างประเทศ เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2436 ว่า "ที่เกาะกงจัดทหารมะรีน (ทหารเรือ) จากกรุงเทพฯ 14 คน ทหารจากเมืองตราด 24 คน ทหารจากเมืองแกลง 12 คน รวม 50 คน แจกปืนเฮนรีมาตินี 100 กระบอก กระสุนพร้อม ที่แหลมงอบจัดทหารไว้ 200 คน พร้อมที่ส่งไปช่วยทางเกาะกง ถนนระหว่างแหลมงอบกับเมืองตราด มีสภาพไม่ดีให้บ้านเมืองเร่งซ่อมถนนให้เร็วใน 1 เดือนพอให้เกวียนเดินได้ ที่แหลมงอบนี้จ่ายเป็นเฮนรีมาตินี 288 กระบอก กระสุนพร้อม"

เมืองตราดถูกฝรั่งเศสยึดครอง
ความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศไทยกับประเทศฝรั่งเศสได้เริ่มทวีความรุนแรงขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ฝรั่งเศสได้ใช้ความพยายามทุกวิถีทางที่จะเข้ายึดครองดินแดนของประเทศไทยให้ได้ในที่สุด ดังเช่นได้กระทำจนเป็นผลสำเร็จมาแล้วในญวน เขมร และลาว ซึ่งในที่สุดเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่มีผลกระทบให้จังหวัดตราด ต้องตกอยู่ใน ความปกครองของฝรั่งเศสก็อุบัติขึ้น

มูลเหตุของการยึดครอง
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเนื่องจากเกิดการรบที่ปากน้าเจ้าพระยา เมื่อ 13 กรกฎาคม 2436 (.. 112) ฝรั่งเศสยื่นคาขาดให้ฝ่ายไทยปฏิบัติตามเมื่อ 20 กรกฎาคม 2436 โดยให้เวลาตอบ 48 ชั่วโมง ฝ่ายไทยได้ตอบข้อเรียกร้องเมื่อ 22 กรกฎาคม 2436 แต่ไม่เป็นที่พอใจของฝ่ายฝรั่งเศส ดังนั้น วันที่ 24 กรกฎาคม 2436 ฝรั่งเศสจึงประกาศตัดสัมพันธ์ทางการทูตกับไทยและในวันที่ 26 กรกฎาคม 2436 ฝรั่งเศสสั่งผู้บัญชาการกองเรือภาคตะวันออกไกลปิดล้อมอ่าวไทย ตั้งแต่แหลมเจ้าลายถึงบริเวณแหลมกระบังและในวันที่ 29 กรกฎาคม 2436 ฝรั่งเศสได้ประกาศปิดล้อมอ่าวไทยครั้งที่ 2 โดยขยายเขตเพิ่มบริเวณเกาะเสม็ด จนถึงแหลมลิง รวม 2 เขต
ในวันเดียวกันคือ 29 กรกฎาคม 2436 ฝ่ายไทยจำต้องยอมรับคำขาดของฝรั่งเศสที่ยื่นไว้แต่เดิม ในวันรุ่งขึ้นฝรั่งเศสถือโอกาสยื่นคำขาดเพิ่มเติมอีก โดยประกาศยึดปากน้ำและเมืองจันทบุรีไว้เป็นประกันและบังคับให้ไทยถอนตัวออกจากฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงอีกด้วย ไทยจำเป็นต้องยอมรับโดยไม่มีทางเลือก เมื่อฝ่ายไทยปฏิบัติตามคำขาดนั้นแล้ว ฝรั่งเศสได้ยกเลิกการปิดอ่าวในวันที่ 3 สิงหาคม 2436 เวลา 12.00 . แต่การยึดปากน้ำและเมืองจันทบุรียังคงยึดไว้ตามเดิม
ต่อมาได้มีการทำสัญญาสงบศึกกันโดยหนังสือสัญญาฉบับลงวันที่ 3 ตุลาคม 2436 (.. 112) ในหนังสือสัญญาฉบับนี้ มีข้อความระบุไว้ในอนุสัญญาผนวกต่อท้ายหนังสือสัญญาข้อ 6 ว่า "คอนเวอนแมต์ (CONVORNMENT) ฝรั่งเศสจะได้ตั้งอยู่ต่อไปที่เมืองจันทบุรี จนกว่าจะได้ทำการสำเร็จแล้วตามข้อความในหนังสือสัญญานี้…"
แม้ทางฝ่ายไทยปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ฝรั่งเศสบีบบังคับไว้แล้ว ฝรั่งเศสก็ไม่ยอมถอนทหาร ยังคงยึดจันทบุรีไว้อีกเป็นเวลานานถึง 10 ปี เป็นเหตุให้ต้องมีการตกลงทำสัญญาขึ้นใหม่อีกฉบับหนึ่งคืออนุสัญญาลงวันที่ 7 ตุลาคม 2445 (.. 121) แต่หนังสือฉบับนี้ฝรั่งเศสไม่ยอมให้สัตยาบันและไม่ถอนกำลังออกจากจันทบุรี จึงได้ตกลงมีสัญญาต่อมาอีก คือ สัญญาลงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2446 (.. 122) คราวนี้ฝรั่งเศสจึงถอนกำลังออกจากจันทบุรี

ฝรั่งเศสยึดครองเมืองตราด
ย่างเข้าปี ร.. 122 แห่งการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์นั้นเอง ฝรั่งเศสได้ให้สัตยาบันที่กรุงปารีสเมื่อธันวาคม 2447 มีผลให้จังหวัดตราดและบรรดาเกาะทั้งหลายภายใต้แหลมลิงไปต้องตกไปเป็นของฝรั่งเศส จากหลักฐานสัญญาลงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2446 ไม่มีข้อความใดระบุการครอบครองจังหวัดตราดไว้เลย แต่ในข้อ 3 แห่งสัญญาระบุไว้ว่า รัฐบาลฝรั่งเศสและรัฐบาลไทยต่างจะตั้งข้าหลวงผสมกันออกไปทาการกำหนดเขตแดน พระบริหารเทพธานี กล่าวอ้างไว้ว่า ได้มีการกำหนดปักปันเขตแดนกันตรงแหลมลิง (ในตำบลบางปิด อำเภอแหลมงอบ) จึงดูเหมือนว่าฝรั่งเศสได้สิทธิในการครอบครองเมืองตราดแทนจันทบุรี
เมื่อข่าวการยึดครองของฝรั่งเศสแพร่สะพัดรู้ไปถึงราษฎร ต่างก็ตกใจและเกิดการอพยพ แต่ด้วยเดชะพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระปรีชาสามารถและทอดพระเนตรเหตุการณ์ไกล จึงได้พยายามทุกวิถีทางที่จะเกิดความสงบเรียบร้อยภายในบ้านเมือง ความพยายามของพระองค์ท่านที่จะประวิงเวลาให้เมืองตราดคงอยู่ในพระราชอาณาจักรไร้ผล ในที่สุดฝ่ายไทยจึงต้องมอบเมืองตราดให้แก่ฝรั่งเศสแน่นอน ในวันที่ 30 ธันวาคม 2447
ได้มีพิธีส่งมอบเมืองตราดให้แก่ฝรั่งเศส จากหลักฐานของพระบริหารเทพธานี บันทึกไว้ว่าพระยาศรีสหเทพและที่ปรึกษากระทรวงมหาดไทย (มิสเตอร์โรบินส์) เป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยมอบเรสิดังต์เดอฟอริงลิมง ข้าหลวงฝ่ายฝรั่งเศสเป็นผู้รับมอบ ได้กระทำพิธีมอบที่หน้าเสาธงซึ่งอยู่หน้าศาลากลางที่พระยาพิพิธฯ สร้างไว้ โดยมีทหารฝ่ายละ 1 โหล มอบวันที่ 30 ธันวาคม 2447 เวลาเที่ยงวัน มีข้าราชการฝ่ายพลเรือนเข้าแถวอยู่ด้วย พระยาศรีสหเทพ เป็นผู้อ่านประกาศมอบเมืองให้แก่ฝรั่งเศสพอจบลงเรสิดังต์ ข้าหลวงฝรั่งเศสอ่านคำรับมอบจากรัฐบาลสยามเป็นภาษาฝรั่งเศส เมื่อจบพิธี ทหาร 2 ฝ่ายยิงสลุตฝ่ายละ 1 โหล แตรบรรเลงขึ้น ทันใดพระยาศรีสหเทพชักธงสยามลง เรสิดังต์ ชักเชือกธงฝรั่งเศสขึ้น เมื่อธงฝรั่งเศสถึงยอดเสา ทหารยิงสลุตอีกฝ่ายละ 1 โหล
นับจากนั้นมาเมืองตราดจึงตกอยู่ในความยึดครองของฝรั่งเศส จนถึงวันที่ 23 มีนาคม 2449 จึงได้มีการตกลงทำหนังสือสัญญาขึ้นอีกฉบับหนึ่งเรียกว่า "หนังสือสัญญาระหว่างสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินสยามกับเปรสสิเดนต์แห่งรีปัปลิคฝรั่งเศส" ฝรั่งเศสจึงคืนเมืองตราดให้ไทยตามเดิม แต่ฝ่ายไทยจะต้องยอมยกดินแดนเมืองพระตะบอง เมืองเสียมราฐและเมืองศรีโสภณ เป็นเงื่อนไขแลกเปลี่ยน เมืองทั้งสามเมืองนั้นมีดินแดนประมาณ 50,000 ตารางกิโลเมตร แลกกับเมืองตราด ประมาณ 2,919 ตารางกิโลเมตร ยกเว้นเมืองปัจจันตคีรีเขตต์ (เกาะกง) ฝรั่งเศสมิได้คืนแต่ประการใด
การทำสัญญาฉบับนี้ ทำในวันที่ 23 มีนาคม 2449 แต่ได้มีพิธีรับมอบเมืองคืนเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2450 เวลา 9.00 . ฝ่ายฝรั่งเศสมีรุซโซ อาระมองค์ อังมินิส ตราเตอร์ เดอแซร์วิศ เซวิลเลอ เรสิดังค์ เดอฟรังค์ ณ เมืองกำปอดเป็นข้าหลวงฝ่ายฝรั่งเศสพระยาศรีสหเทพข้าหลวงฝ่ายไทยเป็นผู้รับมอบ
จากหลักฐานการมอบเมืองตราด หลวงสาครคชเขตต์ ได้รวบรวมเล่าไว้ในหนังสือ จดหมายเหตุความทรงจำสมัยฝรั่งเศสยึดเมืองตราดว่า ในพิธีรับมอบ ข้าหลวงสองฝ่าย แต่งเครื่องแบบเต็มยศ พร้อมด้วยข้าราชการทหาร ตำรวจ ประชุมกันหน้าศาลากลางจังหวัด ข้าหลวงฝ่ายฝรั่งเศสอ่านหนังสือมอบเมืองเป็นภาษาฝรั่งเศส แล้วส่งคำแปลให้ ฝ่ายข้าหลวงไทยกล่าวคำรับมอบเมืองและชักธงไทยขึ้นสู่ยอดเสาจากนั้นจึงมีการดื่มให้พรแก่ประเทศของกันและกันตามธรรมเนียม
หลังพิธีมอบเมืองตราดคืนจากฝรั่งเศสแล้ว ได้มีพิธีสมโภชเมืองโดยตกแต่งประดับประดาสถานที่ราชการและอัญเชิญพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขึ้นประดิษฐานบนศาลากลางจังหวัด แล้วนิมนต์พระภิกษุรวมจานวน 55 รูป เท่าพระชนมายุของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และมีการสวดมนต์เย็น โดยมีพระครูสังฆปาโมกข์ เจ้าคณะจังหวัดจันทบุรีเป็นประธานกลางคืนมีการประดับโคมไฟและมีมหรสพ ตามอาคารบ้านเรือนมีการตกแต่งและตั้งเครื่องบูชา มีการเลี้ยงอาหารแก่ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ชั้นผู้น้อย รุ่งขึ้นเช้ามีการตักบาตรแด่พระภิกษุสงฆ์ เสร็จแล้วเวลา 14.00 . เชิญพระบรมฉายาลักษณ์ประดิษฐานที่หน้าศาลากลางจังหวัดแล้วข้าหลวงประจำจังหวัดเชิญธงมหาราชขึ้นสู่ยอดเสา ลั่นกลองชัยและประโคมดนตรี กองทหารและตำรวจทำวันทยาวุธและยิงสลุต เรือมกุฎราชกุมารซึ่งยังทอดสมออยู่ที่ปากอ่าวก็ยิงสลุตด้วย พระสงฆ์สวดชัยมงคลคาถา บรรดาข้าราชการและประชาชนต่างพากันเปล่งเสียงไชโย 3 ครั้ง เสร็จแล้วพระครูเจ้าคณะจังหวัดจันทบุรีอ่านคาถาพระพรชัยแทนพระสงฆ์ทางฝ่ายราษฎรมีขุนสนิท กำนันตำบลวังกระแจะอ่านคำถวายชัยมงคลในนามประชาชน มีข้อความต่อไปนี้
"ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม ข้าพระพุทธเจ้าราษฎรจังหวัดตราดขอพระราชทานพระบรมราชวโรกาสกราบบังคมทูลพระกรุณาทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทว่า การที่จังหวัดตราดได้กลับคืนมาเป็นพระราชอาณาจักรไทยตามเคยอย่างแต่ก่อนนั้น เป็นพระเดชและพระมหากรุณาธิคุณในใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทเป็นล้นเกล้าล้นกระหม่อมหาที่สุดมิได้ และข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายได้กลับมาเป็นข้าขอบขัณฑเสมาพึ่งพระบรมโพธิสมภารในใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท รวมกับพลเมืองซึ่งเป็นชาติเดียวกันตามเดิมนั้น เป็นที่ยินดีของข้าพระพุทธเจ้าเป็นอย่างยิ่ง ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายได้มาประชุมพร้อมกันอาราธนาพระสงฆ์มาเจริญ พระพุทธมนต์แล้ว ได้ถวายอาหารบิณฑบาตแลขอให้ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาททรงพระเจริญ พระชนมายุยืนนาน สถิตดำรงในสิริราชสมบัติยืนนาน ทรงพระเกษมสำราญ ปราศจากสรรพโรคาพิบัติอุปัทวันตราย มีพระราชประสงค์กิจสิ่งใด ขอให้สำเร็จดังพระราชประสงค์จงทุกประการเทอญ"
คำถวายชัยมงคลนี้ได้มีการจัดทำคำแปลเป็นภาษาอังกฤษส่งไปทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโดยทางโทรเลข ณ ยุโรปด้วย เมื่อทรงทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทแล้ว พระองค์ได้ทรงมีพระราชโทรเลขพระราชทานตอบมาจากเมืองตรอนเซียม ประเทศนอรเวย์ มีข้อความดังนี้
"ถึงผู้ว่าราชการกรมการ และราษฎรเมืองตราด เรามีความจับใจเป็นอย่างยิ่งในถ้อยคำที่เจ้าทั้งหลายได้กล่าวแสดงความจงรักภักดีต่อตัวเรา เรามีความยินดีที่ได้เมืองตราดกลับคืนและขออนุโมทนาในการกุศลที่เจ้าทั้งหลายได้พร้อมกันจัดทาในคราวนี้การที่เจ้าทั้งหลายได้พลัดพรากจากเรานั้น เรามีความเสียดายเป็นอันมากแต่บัดนี้มีความยินดีนักที่เจ้าทั้งหลายได้กลับคืนมาในพระราชอาณาจักรของเรา ซึ่งเราจะเป็นธุระจัดการทะนุบำรุงให้เจ้า ทั้งหลายได้รับความสุขสาราญต่อไปภายหน้า เราจะได้มาเมืองตราดเพื่อเยี่ยมราษฎรชาวเมืองตราด ซึ่งเป็นที่ชอบพอและได้เคยพบปะกันมาแต่ก่อน ๆ แล้วนั้นด้วย"

การเสด็จพระราชดำเนินประพาสเมืองตราด
จากการที่ประชาชนชาวจังหวัดตราดได้มีโทรเลขไปกราบทูลแสดงความยินดีที่ได้กลับคืนมาสู่อาณาจักรดังกล่าวแล้วนั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้มีพระราชปรารถว่า เมื่อเสด็จนิวัติพระนครจะเสด็จแวะเมืองตราดก่อน
ดังนั้นหลังเสด็จพระราชดำเนินกลับจากยุโรปโดยประทับเรือพระที่นั่งมหาจักรีซึ่งทางฝ่ายผู้รักษาพระนครได้จัดการไปรับเสด็จที่เมืองปีนังเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2450 จึงได้เสด็จมายังเมืองตราดโดยมาประทับแรมที่เกาะกูดเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2450 ได้เสด็จประพาสเกาะกระดาษและถึงเมืองตราดในตอนเช้าวันที่ 13 พฤศจิกายน 2550
เมื่อเสด็จออกจากเรือพระที่นั่งขึ้นประทับพลับพลาที่ท่าเรือแล้วพระสงฆ์สวดชัยมงคลคาถาถวายเสร็จแล้วพระบริรักษ์ภูธรผู้ว่าราชการเมืองตราดกราบบังคมทูลพระกรุณาอัญเชิญเสด็จพระราชดำเนินไปประทับ ณ ที่พักผู้ว่าราชการเมือง เมื่อเสด็จพระราชดำเนินถึงพลับพลาที่ประทับซึ่งมีพระสงฆ์ ประชาชนและข้าราชการคอยเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทอยู่ ฝ่ายคณะสงฆ์มีพระญาณวราภรณ์ เจ้าคณะมณฑลจันทบุรีเป็นประธาน เจ้าอธิการ แจ้งว่าที่เจ้าคณะรอง ได้อ่านคำถวายพระพรชัยมงคลแทนพระสงฆ์เมืองตราดแสดงความยินดีที่เสด็จพระราชดำเนินมาประพาสเมืองตราด มีข้อความต่อไปนี้

คาถวายพระพรมงคล
ของพระภิกษุสงฆ์เมืองตราด
ขอถวายพระพร เจริญพระสิริสวัสดิ์พิพัฒนมงคลพระชนม์สุขทุกประการ จงมีแด่สมเด็จพระบรมบพิตรพระราชสมภาร พระองค์สมเด็จพระปรมินทรธรรมิกมหาราชาธิราชเจ้าผู้ทรงพระคุณธรรมอันประเสริฐ
อาตมาภาพพระภิกษุสงฆ์ในแขวงเมืองตราด ขอพระราชทานพระบรมราชวโรกาสแสดงปิติคาถาในเบื้องต้น และถวายพระพรมงคลในที่สุด
การที่ได้เมืองตราดกลับมาเป็นราชอาณาเขตสยามตามเดิม เป็นเหตุให้พุทธศาสนิกชนตั้งต้นแต่พระภิกษุสงฆ์ ได้กลับมาพึ่งพระบรมราชสมภาร บรมราชูปถัมภ์ของสมเด็จบรมบพิตรพระราชสมภารเจ้า ซึ่งเป็นเอกอัครพุทธศาสนูปถัมภก ทรงพระคุณธรรมอันมหาประเสริฐ บาเพ็ญพุทธศาสนกิจตามสามารถด้วยพระมหากรุณาธิคุณหาที่สุดมิได้ ข้อนี้ทาให้เกิดปีติยินดีเป็นอย่างยิ่งอยู่แล้ว และยังซ้ำเสด็จพระราชดำเนินประพาสเมืองตราดในครั้งนี้ เพื่อให้ชาวเมืองได้เห็นเป็นสวัสดิมงคล และแสดง พระเมตตาคุณที่มีอยู่ในประชาชนชาวเมืองตราดเป็นอันมาก จึงได้เกิดความปราโมทย์โสมนัสทวียิ่งขึ้น ด้วยมาระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณเป็นต้นนั้น จึงพร้อมใจกันตั้งสัตยาธิษฐานถวายพระพรมงคล
พาหุง สะหัสสะมะภินิมมิตะสาวุธันตัง
ครีเมขะลัง อุทิตะโฆระสะเสนะมารัง
ทานาทิธัมมะวิธินา ชิตะวา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมงคะลานิ
สมเด็จพระผู้มีพระภาคย์มหามุนินทร์ได้ทรงชนะมารกับทั้งเสนาอันร้ายกาจ ทรงคีรีเมขล์เป็นราชคชาธาร มีกรพันหนึ่งซึ่งทรงสรรพอาวุธอันนฤมิต แล้วด้วยธรรมวิธีคือพระบารมีสิบทัศมี พระทานพระบารมีเป็นต้น ด้วยอานุภาพแห่งสมเด็จพระทศพลมหามุนินทร์ซึ่งทรงชนะมารนั้น ขอชัยมงคลอันเลิศจงมีแด่สมเด็จพระบรมบพิตรพระราชสมภารเจ้าผู้ทรงพระคุณธรรมอันมหาประเสริฐและขอพระพุทธาทิรัตนัตตยานุภาพจงอภิบาลอุปถัมภ์สมเด็จบรมบพิตรพระราชสมภารเจ้าให้ทรงเกษมสานต์ ทรงพระชนมายุยืนนาน และทรงบริบูรณ์ด้วย วรรณ สุข ทุกทิวาราตรี ยิ่งด้วยพระกำลังปฏิภาณปรีชาและวรกาย ผู้มุ่งหมายอนัตถะจงเสื่อมสูญและกลับนานาประโยชน์เกื้อกูลมา สรรพอุปสรรคอุปัทวันตราย ทุกขโรคาพาธภัยพิบัติจงพินาศ ราชลาภจงหลั่งไหลมาทุกทิศานุทิศ สรรพธรรมิกราชประสงค์จงประสิทธิดังพระราชหฤทัย โดยไม่เนิ่นช้า สยามานาเขตจงไพศาลและบริบูรณ์ด้วยประโยชน์สาร ขอสมเด็จพระบรมบพิตรพระราชสมภารเจ้าทรงสถิตยืนนานในพระบรมราชมไหศวริยสมบัติ เพื่อได้ทรงอุปถัมภ์พระบรมพุทธศาสนาให้ถาวรเจริญยิ่ง และเพื่อประชาราษฎรได้ประสบสิ่งซึ่งเป็นคุณประโยชน์สุขทั่วหน้าด้วยพระเมตตาคุณ พระกรุณาคุณพระบรมราชูปถัมภ์โดยธรรมมิกอุบายเป็นนิจนิรันดร์ ขอถวายพระพร
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสตอบแล้ว พระสงฆ์สาธุพร้อมกัน จากนั้นได้พระราชทานย่ามที่ระลึกการเสด็จพระราชดำเนินประพาสยุโรปแก่พระสงฆ์ พระสงฆ์ถวายอดิเรกเสร็จแล้วพระองค์ได้เสด็จออกหน้าพลับพลา ข้าราชการมณฑลจันทบุรีและเมืองตราดตลอดจนราษฎรเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทพร้อมกัน ผู้ว่าราชการเมืองตราดได้อ่านคำถวายพระพรชัยมงคล ในนามประชาชนเมืองตราด มีข้อความต่อไปนี้
คำถวายชัยมงคล
ของประชาชนชาวเมืองตราด
ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม ข้าพระพุทธเจ้าขอพระราชทาน พระบรมราชวโรกาสกราบบังคมทูลพระกรุณาแทนบรรดาข้าราชการและประชาชนราษฎรอันล้วนร่วมฉันทสโมสร คานึงถึงพระเดชพระคุณในใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทที่ได้ทรงพระราชอุตสาหะเสด็จมาถึงเมืองตราด ให้ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายได้ถวายบังคมแทบเบื้องพระบาทยุคลในเวลาวันนี้
จำเดิมแต่ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายได้ทราบความตามโทรเลขที่พระราชทานมาแต่ในเวลาเสด็จประพาสอยู่ ณ ประเทศยุโรปเมื่อ ณ เดือนกันยายน ทรงพระกรุณาดำรัสว่าจะเสด็จมาให้ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายได้เฝ้าถึงเมืองตราดนี้ ก็ได้พากันตั้งหน้าหมายตาคอยด้วยความยินดีที่จะได้ประสบมงคลสมัยอันนั้นอยู่ แต่มิได้คาดเลยว่าจะทรงพระราชอุตสาหเสด็จมาในเวลาขากลับจากประเทศยุโรปก่อนได้เสด็จคืนยังพระราชนิเวศน์มณเทียรสถานในพระราชธานีที่ได้เสด็จจรจากพรากไปแล้วเป็นช้านาน ที่สู้ทรงทรมานพระองค์เสด็จมาทั้งนี้จะพึงคิดเห็นได้แต่ด้วยเหตุอย่างเดียว คือ ว่าทรงพระเมตตาแก่ชาวเมืองตราดเหมือนอย่างบิดาที่มีความอาวรณ์ระลึกถึงบุตรแล้ว และมิได้คิดแก่ความลาบากยากเข็ญอย่างไร สู้ฝ่าฝืนทูรประเทศทางกันดารไปเพื่อแต่ที่จะให้เห็นหน้าบุตรเป็นที่ตั้ง ดังนี้
อันน้ำใจของประชาชนชาวเมืองตราด เมื่อได้แลเห็นพระองค์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐในเวลาวันนี้ ความปีติยินดีตื้นเต็มอกไปทั่วหน้า พ้นวิสัยที่จะพรรณนาด้วยถ้อยคำให้ทรงทราบได้ว่า ความยินดีที่ได้เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทในครั้งนี้มีแก่ชาวเมืองตราดสักเพียงใด ถ้าจะมีที่เทียบเปรียบได้ก็แต่ด้วยความยินดีของพระชาลีนางกัณหาเมื่อได้กลับไปพบเห็นพระเวสสันดรและนางมัทรีที่กล่าวไว้ในกัณฑ์ฉขัติยบรรพนั้นพอจะนับว่าเป็นทานองเดียวกันได้ด้วยประการทั้งปวง
อำนาจความปีติยินดีที่มีทั่วหน้ากันในครั้งนี้กับทั้งอำนาจกุศลบุญราศีอันบังเกิดแต่ความกตัญญูกตเวทีของชาวเมืองตราด ซึ่งได้มีมั่นคงต่อใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาททั้งในเวลาทุกข์และสุขสืบเสมอมาทุกเมื่อนี้ สมควรจะอ้างเป็นสัจจาธิษฐานแห่งข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายซึ่งจะพร้อมกันทูลถวายพระชัยมงคลให้ประสิทธิในใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทในเวลานี้ และด้วยอานาจสัจจาธิษฐานนั้นข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายของพระราชทานถวายพรแด่ สมเด็จพระบรมนาถบพิตรพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวขอให้ทรงพระเจริญสิริสุขสวัสดิ์พิพัฒน์มงคล พระชนมายุสถาพร ขอให้ทรงมีชัยชำนะแก่อริราชดัสกรทั่วทิศานุทิศ และขอให้สรรพราชกิจประสิทธิ์สมดังพระราชหฤทัยจำนงจงทุกประการเทอญ ขอเดชะ
เมื่ออ่านจบแล้วได้บรรจุคาถวายชัยมงคลในกล่องงาซึ่งทาเป็นรูปกระบอกยอดเป็นพระเกี้ยวทองคาทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จากนั้นได้มีพระราชดำรัสตอบ ดังต่อไปนี้
พระราชดำรัสตอบประชาชนชาวเมืองตราด
ดูกรประชาชนอันเป็นที่รักของเรา ถ้อยคำซึ่งเจ้าทั้งหลายได้มอบฉันทะให้กล่าวเฉพาะหน้าเราเวลานี้เป็นที่จับใจอย่างยิ่ง
สมัยเมื่อเราต้องพลัดพรากจากเขตแดนอันเป็นที่พึงใจซึ่งเราได้ใส่ใจบำรุงอยู่เมื่อนึกถึงประชาชนทั้งหลายอันเป็นที่รักใคร่คุ้ยเคยของเราต้องได้รับความเปลี่ยนแปลงอันประกอบไปด้วยความวิบัติไม่มากก็น้อย ย่อมมีความเศร้าสลดใจเป็นอันมาก
เพราะเหตุฉะนั้น ครั้นเมื่อเราได้รับโทรเลขจากเมืองตราดในเวลาที่เราอยู่ในประเทศยุโรป เป็นสมัยเมื่อเราได้มาอยู่รวมกันอีกจึงมีความยินดีอย่างยิ่ง มีความปรารถนาที่จะใคร่ได้มาเห็นเมืองนี้และเจ้าทั้งหลายเพื่อจะได้ระงับความลาบากอันใดซึ่งจะเกิดขึ้นด้วยความเปลี่ยนแปลงและเพื่อจะได้ปรากฏเป็นที่มั่นใจแก่เจ้าทั้งหลายว่าการทั้งปวงจะเป็นที่มั่นคงยืนยาวสืบไป เจ้าทั้งหลายผู้ที่ได้ละทิ้งภูมิลาเนาจะได้กลับเข้ามาสู่ถิ่นฐานและได้ละเว้นการทามาหากินจะได้มีใจอุตสาหะทามาหากินให้บริบูรณ์ดังแต่ก่อนและทวียิ่งขึ้น ซึ่งเจ้าทั้งหลายคิดเห็นว่าเราเหมือนบิดาที่พลัดพรากจากบุตรจึงรีบมาหานั้นเป็นความคิดอันถูกต้องแท้ ขอให้เชื่ออยู่ในใจเสมอสืบไปในเบื้องหน้าดังเช่นที่คิดเห็นในครั้งนี้ว่า เราคงจะเป็นเหมือนบิดาของเจ้าเสมอตลอดไป ย่อมยินดีด้วยในเวลามีความสุข และจะช่วยปลดเปลื้องอันตรายในเวลามีภัยได้ทุกข์
บัดนี้เรามีความยินดีที่ได้เห็นเจ้าทั้งหลายมาสโมสรประชุมกัน ณ ที่นี้ด้วยหน้าตาอัน เบิกบาน ซึ่งเป็นพยานว่าถึงเราได้อยู่ในประเทศที่ไกล แต่รัฐบาลของเราได้จัดการต้อนรับเจ้าทั้งหลายโดยความเอื้อเฟื้อเป็นธรรม และมีความกรุณาสมดังความปรารถนาและคำสั่งของเราเป็นที่พอใจในความจงรักภักดีของเจ้าทั้งหลาย ทั้งในเวลาที่ล่วงมาแล้วและในเวลานี้จึงมีความปรารถนา ที่จะให้เมืองตราดนี้อยู่เย็นเป็นสุขสมบูรณ์และขออำนวยพรแก่ประชาราษฎรให้มีความเจริญสุขสิริสวัสดิ์ ทามาค้าขึ้นบริบูรณ์มั่งคั่งสืบไปในภายหน้า
เมื่อจบพระราชดำรัสแล้วประชาชนได้เปล่งเสียง "สาธุ" พร้อมกัน จากนั้นได้พระราชทานพระแสงสาหรับเมือง๓๗ โดยผู้ว่าราชการเมืองเป็นผู้รับจากพระหัตถ์ และอัญเชิญขึ้นพาดไว้เหนือบันไดแก้วบนโต๊ะบูชา ประชาชนและข้าราชการได้พร้อมกันโห่ถวายพระพรชัยมงคล 3 ครั้ง พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์ พนักงานประโคมดนตรี
หลังจากนั้นพระองค์ได้โปรดเกล้าฯ ให้พนักงานแจกเสมาที่ระลึกในการเสด็จประพาส ยุดรปให้แก่เด็กและหัวหน้าราษฎรทุกชาติทุกภาษาด้วย เสร็จแล้วพระะบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนินประพาสถนนในเมืองแล้วเสด็จพระราชดำเนินกลับถึงท่าเรือในเวลา 16 นาฬิกา เสด็จประทับเรือพระที่นั่งออกจากท่าเรือต่อไปยังเมืองจันทบุรี

การแยกอำเภอทุ่งใหญ่ออกจากเมืองขลุง
เมื่อจังหวัดตราดกลับคืนมาเป็นของไทยตามเดิมแล้ว ได้มีประกาศให้ยุบเมืองขลุงลงให้คงสภาพเป็นเพียงอำเภอขึ้นกับจังหวัดจันทบุรีตามเดิม ส่วนอำเภอทุ่งใหญ่ซึ่งได้ประกาศให้ขึ้นกับเมืองขลุง เมื่อปี 2449 นั้น ให้โอนกลับมาขึ้นกับเมืองตราดต่อไปตามเดิม

การจัดรูปการปกครองเมืองตามระบอบมณฑลเทศาภิบาล
เทศาภิบาล
แต่เดิมมาหัวเมืองต่าง ๆ มิได้มีการแบ่งออกเป็นท้องที่ย่อย ๆ คงเรียกชื่อเมือง และ หมู่บ้านเท่านั้นต่อมาในปี 2440 (.. 116) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดเกล้าฯ ให้ตรา "ข้อบังคับลักษณะปกครองหัวเมือง ร.. 116" ขึ้นไว้ โดยแบ่งมณฑลออกเป็นเมือง แต่ละเมืองแบ่งออกเป็นอำเภอแต่ละอำเภอแบ่งออกเป็นตำบล แบ่งเป็นหมู่บ้าน มีตำแหน่งผู้ว่าราชการเมือง นายอำเภอ กำนัน และผู้ใหญ่บ้าน เป็นผู้บังคับบัญชาปกครองดูแลลดหลั่นกันลงมาตามลาดับ
ในเขตจังหวัดได้มีประกาศเกี่ยวกับการแบ่งเมืองต่าง ๆ ออกเป็นเมืองชั้นใน ชั้นกลาง และชั้นนอก ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และมีการระบุชื่อ "เมืองตราด" ไว้ โดยขึ้นในเขตมณฑลจันทบุรี 40 ตาม "ข้อบังคับลักษณะปกครองหัวเมือง ร.. 122"
การจัดรูปการปกครองในปัจจุบัน
ระเบียบการบริหารราชการส่วนภูมิภาค
จังหวัดตราด หรือเมืองตราด เดิมจัดแบ่งลักษณะการปกครอง เมืองตราดออกเป็นอำเภอ 3 อำเภอ ปรากฏหลักฐานที่พระบริหารเทพธานี รวบรวมไว้ว่า เมืองตราดในสมัยพระยาพิพิธพิไสยสุนทรการ (สุข ปรัชญานนท์) เป็นผู้ว่าราชการเมือง (.. 2442 - 2447) ดังนี้
1. อำเภอเมือง ตั้งอยู่ที่ตำบลบางพระ มีตำบลรวม 23 ตำบล คือ บางพระ เกาะกันเกรา หนองเสม็ด หนองคันทรง แหลมหิน ห้วงน้าขาว อ่าวญวน หนองโสน น้าเชี่ยว แหลมงอบ บางปิด ปลายคลอง วังแจะ คลองใหญ่ (เขาสมิง) ห้วงแร้ง ตะกางแหลมฆ้อ ยายหลิ่ว ท่าพริก ชาราก คลองใหญ่ (แหลมงอบ) แหลมกลัด และท่าลุ่ม (คงเป็นท่ากุ่ม) มี ขุนศรีวิไชย เป็นนายอำเภอ (ส่วนคลองใหญ่ปัจจุบันเดิมขึ้นกับเมืองปัจจันตคีรีเขตต์)
2. อำเภอศรีบัวทอง ตั้งอยู่ที่บ้านท่าฉาง ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำคลองใหญ่มีตำบล 10 ตำบล คือ ศรีบัวทอง ท่าโสม แสนตุ้ง สะตอ ช้างทูน ประณีต บ่อนาวง ด่านชุมพร ตากแว้ง ท่าฉาง มีนายปลั่งเป็นนายอำเภอ
3. อำเภอเกาะช้าง ตั้งอยู่ที่บ้านด่านใหม่ (บ้านคลองนนทรีปัจจุบัน) ท้องที่อำเภอนี้เป็นเกาะทั้งหมด คือ เกาะช้าง เกาะกูด เกาะม้า (เกาะหมาก) เกาะกระดาษ เกาะไม้ซี้ใน เกาะไม้ชี้นอก เกาะคลุ้ม เกาะขาน (เกาะจาน) และเกาะเล็ก ๆ อีกมากมายรวม 41 เกาะ ตั้งเสนาหลาย (ชื่อเสนา) เป็นนายอำเภอ
อำเภอศรีบัวทองนั้น น่าจะมีการแบ่งแยกออกเป็นอำเภอใหญ่อีกอำเภอหนึ่งชื่อ "อำเภอทุ่งใหญ่ ในสมัยต่อมา ๆ มา แต่ไม่พบหลักฐานยืนยันว่าเป็นปีใดแน่ และต่อมามีประกาศยุบอำเภอ ศรีบัวทองเข้าเป็นอำเภอเดียวกันกับอำเภอทุ่งใหญ่เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ ร.. 123 เหตุที่ยุบอำเภอศรีบัวทองนี้เข้าใจว่าคงเป็นเพราะราษฎรที่มีอาชีพขุดพลอยกันมาแต่เดิมนั้น ได้พากันอพยพออกไปทำมาหากินที่อื่น ทำให้หมู่บ้านต่าง ๆ กลายเป็นหมู่บ้านร้างไป ซึ่งถ้าศึกษาจากแผนที่สมัยหลัง จะพบชื่อหมู่บ้านร้างอยู่หลายหมู่บ้านด้วยกันในบริเวณดังกล่าวนี้
ต่อมาระหว่างปี พ.. 2456 - 2464 ในสมัยพระตราษบุรีศรีสมุทร์เขต (ธน ณ สงขลา) เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดนั้น ได้มีการจัดตั้งกิ่งอำเภอ เพิ่มขึ้นอีกแห่งหนึ่งเรียกว่า กิ่งอำเภอคลองใหญ่ ให้ขุนชานิ บาราบพาล (คอย อภิบาลศรี) เป็นปลัดกิ่งอำเภอ บริเวณที่ตั้งกิ่งอำเภอคลองใหญ่นี้ แต่เดิมขึ้นกับเมืองปัจจันตคีรีเขตต์ และเมืองนี้ถูกฝรั่งเศสยึดครองพร้อมกับเมืองตราดในระหว่างปี พ.. 2477 - 2479 หลังจากเมืองตราดหลุดพ้นจากการยึดครองของฝรั่งเศสแล้วได้มีการปักปันเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชาขึ้น ทำให้บริเวณกิ่งอำเภอคลองใหญ่กลับเป็นของไทย ส่วนเมืองปัจจันตคีรีเขตต์ ฝรั่งเศสมิยอมคืน
ในปี พ.. 2459 พระบาทสมเด็จพระมงกฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนคำว่า "เมือง" มาเป็น "จังหวัด" แทนทั้งหมด สำหรับจังหวัดตราด ได้มีประกาศเปลี่ยนชื่อ อำเภอต่าง ๆ เมื่อวันที่ 24 เมษายน พ.. 2460 โดยเปลี่ยนชื่อ "อำเภอเมือง" เป็น "อำเภอบางพระ" และอำเภอทุ่งใหญ่" เป็น "อำเภอเขาสมิง" ส่วนกิ่งอำเภอคลองใหญ่ ยังคงใช้ชื่อเดิมอยู่
ต่อมาได้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกา เปลี่ยนชื่ออำเภอบางพระเป็น อำเภอเมืองตราด เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2481 และเปลี่ยนชื่ออำเภอเกาะช้าง เป็น อำเภอแหลมงอบ เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2482
จากหลักฐานของกรมแผนที่ทหารบก แสดงจังหวัดจันทบุรี มาตราส่วน 1 : 50,000 ระวาง 4.48.19 สำรวจ พ.. 2455, 2456 และ 2457 จัดพิมพ์ พ.. 2460, 2461, 2462 และ 2468 แบ่งเขตอำเภอดังนี้
1. อำเภอเมือง มี 17 ตำบล คือ บางพระ วังแจะ หนองเสม็ด หนองคันทรง แหลมหิน ห้วงน้าขาว อ่าวญวน หนองโสน ปลายคลอง ห้วยแร้ง แหลมฆ้อ ยายหลิ่ว ท่าพริก ชาราก ตะกาง แหลมกลัด และท่ากุ่ม
2. อำเภอเขาสมิง มี 10 ตำบล คือ เขาสมิง แสนตุ้ง ศรีบัวทอง สะตอ ด่านชุมพร ช้างทูน ประณีต บิ่นนาวง ตากแว้ง และท่าฉาง
3. อำเภอเกาะช้าง มี 5 ตำบล คือ น้าเชี่ยว แหลมงอบ บางปิด เกาะช้าง และเกาะหมาก เปลี่ยนอาเภอเกาะช้างเป็นอาเภอแหลมงอบ
4. กิ่งอำเภอคลองใหญ่ มีตำบลเดียว คือ ตำบลคลองใหญ่
การเปลี่ยนแปลงเขตอำเภอ เขตตำบล และเขตหมู่บ้าน ได้มีการเปลี่ยนแปลงหลายครั้ง ขอสรุปดังนี้
20 พฤศจิกายน 2479 โอนตำบลแหลมกลัด อำเภอคลองใหญ่ ขึ้นอำเภอบางพระ (อำเภอเมืองตราด)
16 สิงหาคม 2481 ยุบตำบลบ้านแหลมหินรวมกับตำบลหนองคันทรง ยุบตำบล ปลายคลองรวมกันกับตำบลวังแจะ และโอนหมู่บ้านบางหมู่บ้านในตำบลบางพระขึ้นตำบลหนองเสม็ด
25 กันยายน 2482 เปลี่ยนชื่อตำบลอ่าวญวน เป็นตำบลอ่าวใหญ่
4 ธันวาคม 2485 เปลี่ยนแปลงเขตตำบลในเขตอำเภอเมือง และเขตอำเภอเขาสมิง
8 กุมภาพันธ์ 2490 โอนเกาะกูดเกาะไม้ซี้ จากตำบลเกาะช้าง อำเภอแหลมงอบขึ้นตำบลคลองใหญ่ กิ่งอำเภอคลองใหญ่
ตามประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่องตั้งตำบลในจังหวัดต่าง ๆ ซึ่งประกาศ ณ วันที่ 28 พฤษภาคม 2490 และเรื่องตั้ง และเปลี่ยนแปลงเขตตำบลในจังหวัดต่าง ๆ ซึ่งประกาศ ณ วันที่ 14 เมษายน 2491 นั้น ได้มีการเปลี่ยนแปลง หมู่บ้าน ตำบล และอำเภอต่าง ๆ ในเขตอำเภอเมือง 3 ตำบล 11 หมู่บ้าน เขตอำเภอเขาสมิง 3 ตำบล 11  หมู่บ้าน
18 พฤศจิกายน 2491 โอนเกาะกูด ตำบลคลองใหญ่ กิ่งอำเภอคลองใหญ่ตั้งเป็นหมู่ 9 ตำบลเกาะช้าง อำเภอแหลมงอบ
19 มิถุนายน ตั้งตำบลเกาะหมาก อำเภอแหลมงอบ
16 พฤศจิกายน 2501 เปลี่ยนแปลงเขตอำเภอไม้รูด กิ่งอำเภอคลองใหญ่ ให้มีหมู่บ้าน 3 หมู่บ้าน ตำบลหาดเล็ก 3 หมู่บ้าน
3 ธันวาคม 2502 ตราพระราชกฤษฎีกา จัดตั้งกิ่งอำเภอคลองใหญ่ เป็นอำเภอคลองใหญ่
1 สิงหาคม 2513 ประกาศกระทรวงมหาดไทย แบ่งอำเภอเขาสมิง ตั้งเป็นกิ่งอำเภอ บ่อไร่ มี ๓ ตำบล คือ ตำบลบ่อพลอย ตำบลช้างทูน และตำบลด่านชุมพล   ต่อมาได้ ตั้งตำบลหนองบอน ขึ้นอีกเมื่อ 2 สิงหาคม 2519
13 กรกฎาคม 2524 มีพระราชกฤษฎีกายกฐานะกิ่งอำเภอบ่อไรเป็นอำเภอบ่อไร่  ในปัจจุบัน (2526) จังหวัดตราดแบ่งเขตการปกครองท้องที่เป็น 5 อำเภอ คือ อำเภอเมือง อำเภอเขาสมิง อำเภอคลองใหญ่ อำเภอแหลมงอบ และอำเภอบ่อไร่

ระเบียบบริหารราชการส่วนท้องถิ่น
1. การจัดตั้งเทศบาล จัดตั้งขึ้นเป็นครั้งแรกโดยพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งเทศบาล เมืองตราด จังหวัดตราด พุทธศักราช 2478 ซึ่งตราไว้เมื่อ 7 ธันวาคม 2478 ตามพระราชกฤษฎีกามาตรา 4ดังนี้
ด้านเหนือ ตั้งแต่หลักเขตที่ 1 ต้นทางเดินวัดกลางด้านเหนือตรงไปทิศตะวันออกถึงหลักเขตที่ 2 ริมถนนไปตำบลวังกระแจะ ฝั่งตะวันตก ข้ามถนนนั้น ตัดตรงผ่านทุ่งนาไปยังเขตที่ 3 ริมถนนไปท่าเรือจ้างฝั่งเหนือ
ด้านตะวันออก ตั้งแต่หลักเขตที่ 3 ข้ามถนนไปท่าเรือจ้างถึงหลักเขตที่ 4 ระยะทาง จากหลักเขตที่ 3 นั้น 528 เมตร
ด้านใต้ ตั้งแต่หลักเขตที่ 4 ตัดตรงเป็นมุมฉากถึงหลักเขตที่ 5 ริมแม่น้าบางพระ ฝั่งตะวันออกข้ามแม่น้าถึงหลักเขตที่ 6 ริมแม่น้าบางพระฝั่งตะวันตก เลียบตามริมแม่น้าบางพระฝั่งใต้ถึงหลักเขตที่ 7 ริมถนนจะไปอำเภอเกาะช้างฝั่งตะวันออก ข้ามถนนเลียบตามริมแม่น้าบางพระฝั่งใต้ของหลักเขตที่ 8 ริมเชิงสะพานเกาะกันเกราตะวันออกเฉียงใต้ ข้ามแม่น้าถึงหลักเขตที่ 9 ตรงริมเชิงสะพานเกาะกันเกราฝั่งเหนือ
ด้านตะวันตก ตั้งแต่หลักเขตที่ 9 เลียบริมทางเดินวัดโบสถ์ด้านตะวันตกไปบรรจบหลักเขตที่ 1
ต่อมาเมื่อ 21 พฤศจิกายน 2504 ได้มีพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงเขตเทศบาล เมืองตราด พ.. 2504 ทำให้เทศบาลเมืองตราดมีเนื้อที่ 2.52 ตารางกิโลเมตร