จังหวัดในประเทศไทย

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

จังหวัด เป็นเขตบริหารราชการส่วนภูมิภาคของประเทศไทย ปัจจุบันมีทั้งสิ้น 76 จังหวัด (ทั้งนี้ กรุงเทพมหานครไม่เป็นจังหวัด จังหวัดถือเป็นระดับการปกครองของรัฐบาลลำดับแรก โดยเป็นหน่วยการปกครองส่วนภูมิภาคที่รวมท้องที่หลาย ๆ อำเภอเข้าด้วยกันและมีฐานะเป็นนิติบุคคล ในแต่ละจังหวัดปกครองด้วยผู้ว่าราชการจังหวัด

การจัดแบ่งกลุ่มจังหวัดออกเป็นภาคต่าง ๆ มีการใช้เกณฑ์ที่แตกต่างกัน โดยมีทั้งการแบ่งอย่างเป็นทางการโดยราชบัณฑิตยสถานสำหรับ ใช้ในแบบเรียน และการแบ่งขององค์กรต่าง ๆ ตามแต่การใช้ประโยชน์ ชื่อของจังหวัดนั้นจะเป็นชื่อเดียวกับชื่ออำเภอที่เป็นที่ตั้งของศูนย์กลาง จังหวัด เช่น ศูนย์กลางการปกครองของจังหวัดเพชรบุรีอยู่ที่อำเภอเมืองเพชรบุรี เป็นต้น แต่ชื่ออำเภอเหล่านี้มักเรียกย่อแต่เพียงว่า "อำเภอเมือง" ยกเว้นจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ที่ใช้ชื่อจังหวัดเป็นชื่ออำเภอที่ตั้งศูนย์กลางการปกครองโดยตรง (อำเภอพระนครศรีอยุธยา)

หน่วยการปกครองย่อยรองไปจากจังหวัดคือ "อำเภอ" ซึ่งมีทั้งสิ้น 878 อำเภอ ซึ่งจำนวนอำเภอนั้นจะแตกต่างกันไปในแต่ละจังหวัด ส่วนเขตการปกครองย่อยของกรุงเทพมหานครมีทั้งหมด 50 เขต

ประวัติศาสตร์จังหวัดต่าง ๆ (ขึ้นต้นด้วย ต,น-ต่อ)



ประวัติศาสตร์จังหวัดนครสวรรค์
ตราประจำจังหวัด


รูปวิมาน 3 ยอด
คำขวัญประจำจังหวัด
เมืองสี่แคว แห่มังกร พักผ่อนบึงบอระเพ็ด ปลารสเด็ดปากน้ำโพ
นครสวรรค์เป็นเมืองโบราณ ซึ่งสันนิษฐานว่าตั้งขึ้นในสมัยกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี โดยมีปรากฏชื่อในศิลาจารึกเรียกว่าเมืองพระบางเป็นเมืองหน้าด่านสำคัญในการทำศึกสงครามมาทุกสมัย ตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย กรุงธนบุรี จนถึงกรุงรัตนโกสินทร์ ตัวเมืองดั้งเดิมตั้งแต่อยู่ในที่ตอนบริเวณเชิงเขาขาด (เขาฤๅษี) จรดวัดหัวเมือง (วัดนครสวรรค์) ยังมีเชิงเทินดินเป็นแนวปรากฏอยู่ เมืองพระบางต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็นเมืองชอนตะวันเพราะตัวเมืองตั้งอยู่บนฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา และหันหน้าเมืองไปทางแม่น้ำซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออก ทำให้แสงอาทิตย์ส่องเข้าหน้าเมืองตลอดเวลา แต่ภายหลังได้เปลี่ยนเป็นชื่อเมืองนครสวรรค์เพื่อเป็นศุภนิมิตอันดี
นครสวรรค์ มีชื่อเรียกเป็นที่รู้จักแพร่หลายมาแต่เดิมว่าปากน้ำโพโดยปรากฏเรียกกันมาแต่ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ตามประวัติศาสตร์ในคราวที่พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนอง ยกทัพมาตีกรุงศรีอยุธยา ครั้งสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ กองทัพเรือจากกรุงศรีอยุธยาได้ยกไปรับทัพข้าศึกที่ปากน้ำโพ แต่ต้านทัพข้าศึกไม่ไหว จึงล่าถอยกลับไป
ที่มาของคำว่าปากน้ำโพสันนิษฐานได้ 2 ประการคือ อาจมาจากคำว่าปากน้ำโผล่เพราะเป็นที่ปากน้ำแคว ยม และน่าน มาโผล่รวมกันเป็นต้นแม่น้ำเจ้าพระยา หรืออีกประการหนึ่งคือมีต้นโพธิ์ขนาดใหญ่อยู่ตรงปากน้ำ ในบริเวณวัดโพธิ์ซึ่งเป็นที่ตั้งศาลเจ้าพ่อกวนอูในปัจจุบันจึงเรียกกันว่าปากน้ำโพธิ์ก็อาจเป็นได้
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้ทรงนำพระพุทธรูปชื่อพระบางไปคืนให้เมืองเวียงจันทน์ แต่ติดศึกพม่าต้องเอาพระพุทธรูป "พระบาง" มาค้างไว้ที่เมืองนี้ ต่อมาไทยรบทัพจับศึกกับพม่า และปราบหัวเมืองฝ่ายเหนือที่แข็งเมือง ยกมาตีกรุงศรีอยุธยาและตอนต้นกรุงเทพฯ กองทัพไทยได้ยกเคลื่อนที่ขึ้นมาเลือกนครสวรรค์ (ที่เคยเป็นโรงทหารเก่าหลังโรงเหล้าเดี๋ยวนี้) เป็นที่ตั้งทัพหลวงแล้วดัดแปลงขุดคูประตูหอรบ จากตะวันตกตลาดสะพานดำไปบ้านสันคูไปถึงทุ่งสันคู เดี๋ยวนี้ยังปรากฏแนวคูอยู่ เมื่อข้าศึกยกลงมาจากทุ่งหนองเบน หนองสังข์ สลกบาตร และตะวันออกเฉียงใต้ของลาดยาวมาเหนือทุ่งสันคู เมื่อฤดูแล้งเป็นที่ดอนขาดนํ้า ถ้าฝนตกนํ้าก็หลากเข้ามาอย่างแรงท่วมข้าศึก ไทยยกทัพตีตลบหลังพม่าวิ่งหนีผ่านช่องเขานี้จึงได้ชื่อว่า "เขาช่องขาด" มาจนบัดนี้
เนื่องจากเมืองนครสวรรค์เป็นหัวเมืองชั้นตรี ซึ่งปรากฏอยู่ตามกฎหมายเก่า ในสมัยแผ่นดินสมเด็จพระเอกาทศรถ ราว พ.. 2100 ว่าด้วยเรื่องดวงตราประทับหนังสือที่ให้เสนาบดีเจ้ากระทรวงใช้ในราชการ ดังนั้นเมืองนครสวรรค์ จึงมิได้มีบทบาทที่ถูกกล่าวถึงไว้ในประวัติศาสตร์สำคัญของไทยเท่าใดนัก

การจัดรูปการปกครองเมืองตามระบอบมณฑลเทศาภิบาล
ในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 แห่งราชวงศ์จักรี ได้ทรงพระราชดำริที่จะจัดการปกครองพระราชอาณาเขตให้มั่นคง จึงทรงริเริ่มจัดรูปการปกครองท้องถิ่นขึ้นใหม่ โดยให้รวมหัวเมืองต่าง ๆ เข้าเป็นมณฑล มีผู้ปกครองมณฑลขึ้นอยู่กับกระทรวงมหาดไทยแต่กระทรวงเดียว
ครั้งแรกได้ทรงเริ่มจัดตั้งมณฑลขึ้น 4 มณฑล คือ มณฑลกรุงเก่า มณฑลปราจีน มณฑลนครสวรรค์ และมณฑลพิษณุโลก แต่ตั้งเป็นมณฑลสมบูรณ์มีข้าหลวงเทศาภิบาลปกครองถูกต้องเพียง 2 มณฑล ในปี พ.. 2435 คือมณฑลปราจีน และมณฑลพิษณุโลก ส่วนอีก 2 มณฑล คือ มณฑลกรุงเก่า และมณฑลนครสวรรค์มาจัดตั้งสำเร็จในปลายปี พ.. 2436 โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าน้องยาเธอ กรมขุนมรุพงษ์ศิริพัฒน์ (พระองค์เจ้าวัฒนานุวงค์ ต้นราชสกุล วัฒนวงค์) เป็นข้าหลวงเทศาภิบาลมณฑลกรุงเก่าและให้พระยาดัสกรปลาศ (อยู่) ซึ่งเคยเป็นข้าหลวงใหญ่อยู่ ณ เมืองหลวงพระบาง เป็นข้าหลวงเทศาภิบาลมณฑลนครสวรรค์
ในการจัดตั้งมณฑลนครสวรรค์ ได้รวมเอาหัวเมืองทางแม่น้ำเจ้าพระยาตอนเหนือขึ้นไปจนถึงแม่น้ำปิงเข้าด้วยกัน 8 เมือง คือเมืองชัยนาท เมืองสรรคบุรี เมืองมโนรมย์ เมืองอุทัยธานี เมืองพยุหะคีรี เมืองนครสวรรค์ เมืองกำแพงเพชร และเมืองตาก ตั้งที่ว่าการมณฑลอยู่ที่เมืองนครสวรรค์ การจัดรูปปกครองในลักษณะมณฑลได้ดำเนินการมาจนถึง พ.. 2475 จึงได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ยุบมณฑลและระเบียบเทศาภิบาลของเก่าไปให้คงไว้แต่หัวเมืองและอำเภอ โดยให้ทุกเมืองมีฐานะเท่าเทียมกัน ปฏิบัติราชการขึ้นตรงต่อเจ้ากระทรวง และรับคำสั่งจากเจ้ากระทรวงโดยตรง

การจัดรูปการปกครองสมัยปัจจุบัน
ภายหลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เมื่อปี พ.. 2475 โดยการยุบเลิกมณฑลตามระเบียบเทศาภิบาลแบบเก่าไปแล้ว ได้มีการจัดระบบการปกครองตามระบอบประชาธิปไตย และจัดระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาคออกเป็นจังหวัดและอำเภอ ปรากฏตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.. 2476 ครั้นมาในปี พ.. 2495 ได้มีพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน กำหนดฐานะจังหวัดเป็นนิติบุคคล และให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้มีอำนาจในการบริหารจังหวัดแต่เพียงบุคคลเดียว โดยมีคณะกรมการจังหวัดเป็นคณะเจ้าหน้าที่ที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัด
การปกครองรูปจังหวัดในปีปัจจุบัน เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน โดยประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 218 ลงวันที่ 29 กันยายน 2515 ซึ่งจัดระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาคเป็นจังหวัดและอำเภอ มีฐานะเป็นนิติบุคคล การตั้ง ยุบและเปลี่ยนแปลงเขตจังหวัดให้ตราเป็นพระราชบัญญัติในจังหวัดมีผู้ว่าราชการจังหวัดหนึ่งคน เป็นผู้รับนโยบายของทางราชการมาปฏิบัติการให้เหมาะสมกับท้องถิ่นและประชาชน เป็นหัวหน้าบังคับบัญชาบรรดาข้าราชการฝ่ายบริหาร และส่วนภูมิภาคในเขตจังหวัด โดยมีรองผู้ว่าราชการจังหวัด หรือผู้ช่วยผู้ว่าราชการจังหวัด หรือทั้ง 2 ตำแหน่ง เป็นผู้ช่วยปฏิบัติราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัด ทั้งนี้ในการบริหารราชการแผ่นดินให้มีคณะกรมการจังหวัด เป็นที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัดด้วย

ประวัติศาสตร์จังหวัดนนทบุรี
ตราประจำจังหวัด


รูปหม้อน้ำลายวิตร
คำขวัญประจำจังหวัด
พระตำหนักสง่างาม ลือนามสวนสมเด็จ
เกาะเกร็ดแหล่งดินเผา วัดเก่านามระบือ
เลื่องลือทุเรียนนนท์ งามน่ายลศูนย์ราชการ

 ก่อนสมัยกรุงรัตนโกสินทร์
จังหวัดนนทบุรี เป็นเมืองเก่าแก่มาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ตำบลที่ตั้งเมืองนนทบุรีขึ้นมาครั้งแรกนั้นมีชื่อว่า บ้านตลาดขวัญ ต่อมาได้ยกฐานะขึ้นเป็นเมืองนนทบุรี เมื่อ พ.. 2092 ในรัชกาลสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ดังปรากฏหลักฐานในพระราชพงศาวดารว่าฝ่ายสมเด็จพระมหาจักรพรรดิราชาธิราชเจ้าให้สถาปนาที่พระราชทานเพลิงนั้น เป็นพระเจดีย์วิหารสำเร็จแล้ว ให้นามชื่อ วัดสบสวรรค์ แล้วสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตรัสว่า ไพร่บ้านเมืองตรีจัตวา ปากใต้ฝ่ายเหนือเข้าพระนครครั้งนี้น้อย หนีออกอยู่ป่าดงห้วยเขา ต้อนไม่ได้เป็นอันมากให้เอาบ้านท่าจีนตั้งเป็นเมือง สาครบุรี ให้เอาบ้านตลาดขวัญตั้งเป็นเมืองนนทบุรี ให้แบ่งเอาแขวงเมืองราชบุรี แขวงเมืองสุพรรณบุรี ตั้งเป็นเมืองนครชัยศรี…”
บ้านตลาดขวัญเป็นดินแดนแห่งความอุดมสมบูรณ์และเป็นสวนผลไม้ที่ขึ้นชื่อแห่งหนึ่ง ของกรุงศรีอยุธยา ฝรั่งต่างชาติที่ได้เดินทางเข้ามาค้าขายและเจริญสัมพันธไมตรีกับกรุงศรีอยุธยาต่างก็ได้บันทึกเอาไว้ ดังปรากฏในจดหมายเหตุบันทึกการเดินทางของลาลูแบร์ ชาวฝรั่งเศสผู้ซึ่งเดินทางเข้ามาในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชว่าสวนผลไม้ที่บางกอกนั้น มีอาณาบริเวณยาวไปตามชายฝั่ง โดยทวนขึ้นสู่เมืองสยามถึง 4 ลี้ กระทั่งจรดตลาดขวัญ (Talacouan) ทำให้เมืองหลวงแห่งนี้อุดมสมบูรณ์ไปด้วยผลาหาร ซึ่งคนพื้นเมืองชอบบริโภคกันนักหนา.…”
นอกจากนี้ยังมีดินแดนทางตอนใต้ของตลาดขวัญอีกแห่งหนึ่งชื่อว่า ตลาดแก้ว ตลาดแก้วแห่งนี้เข้าใจว่าคงจะมีความสำคัญควบคู่กันมากับตลาดขวัญตั้งแต่ก่อนจะตั้งเป็นเมืองนนทบุรีแล้ว เพราะปรากฏในจดหมายเหตุของลาลูแบร์ว่า “……ตำบลสำคัญๆ ที่แม่นํ้าสายนี้ไหลผ่าน คือ แม่ตาก (Mc-Tae) อันเป็นเมืองเอกของราชอาณาจักรสยามที่ตั้งอยู่ทางทิศเหนือหนพายัพ ถัดจากนี้ต่อมาก็ถึงเมืองเทียนทอง (Tian-Tong) หรือเชียงทอง กำแพงเพชรหรือกำแพงเฉยๆ ซึ่งลางคนออกเสียงว่า กำแปง (Campingue) แล้วก็มาถึงเมืองนครสวรรค์ (Loconsevan) ชัยนาท (Tchainat) สยาม ตลาดขวัญ ตลาดแก้ว (Talapu’ou) และบางกอก.….
สำหรับบริเวณอันเป็นที่ตั้งของตลาดแก้วในปัจจุบันนี้ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าอยู่ตรงไหน แน่มีผู้สันนิษฐานว่าคงจะอยู่แถววัดปากนํ้า ตำบลสวนใหญ่ อำเภอเมืองนนทบุรี ขึ้นไป เมื่อสุนทรภู่แต่งนิราศภูเขาทอง เมื่อ พ.. 2371 ก็ปรากฏว่าตลาดแก้วได้เลือนลางไปแล้ว คงเหลือแต่เพียงตลาดขวัญเท่านั้น ดังปรากฏในนิราศภูเขาทองว่า


ตลาดแก้วแล้วไม่เห็นตลาดตั้ง
สองฟากฝั่งก็แต่ล้วนสวนพฤกษา


โอ้รินรินกลิ่นดอกไม้ใกล้คงคา
เหมือนกลิ่นผ้าแพรดำรํ่ามะเกลือ

เห็นโศกใหญ่ใกล้นํ้าระกำแฝง
ทิ้งรักแซงแซมสวาดประหลาดเหลือ

เหมือนโศกพี่ที่ชํ้าระกำเจือ
เพราะรักเรื้อแรมสวาทมาคลาดคลาย

ถึงแขวงนนท์ชลมารคตลาดขวัญ
มีพ่วงแพแพรพรรณเขาค้าขาย

ทั้งของสวนล้วนแต่เรือเรียงราย
พวกหญิงชายชุมกันทุกวันคืน





ตัวเมืองนนทบุรีแต่เดิมนั้นตั้งอยู่ที่ตำบลบางกระสอในปัจจุบันนี้ โดยมีวัดหัวเมือง (เดี๋ยวนี้เป็นวัดร้าง ทางราชการได้ใช้เป็นสถานที่สร้างโรงพยาบาลนนทบุรี) เป็นเขตเหนือ และ มีวัดท้ายเมืองเป็นเขตใต้ พ.. 2081 สมเด็จพระมหาจักรพรรดิได้โปรดให้ขุดคลองลัดจากคลองบางกรวย (แม่นํ้าเจ้าพระยา) ริมวัดชะลอ ไปทะลุวัดมูลเหล็ก (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นวัดสุวรรณคีรี)
.. 2179 พระเจ้าปราสาททองโปรดเกล้าฯ ให้ขุดคลองลัดตอนใต้วัดท้ายเมืองไปทะลุออกหน้าวัดเขมา เพราะแต่เดิมมาแม่นํ้าเจ้าพระยาไหลวกเข้าแม่นํ้าอ้อมมาทางบางใหญ่แล้ววกเข้าคลองบางกรวยข้างวัดชะลอ มาออกหน้าวัดเขมา เมื่อขุดคลองลัดแล้วกระแสนํ้าเปลี่ยนทางเดินไหลเข้าคลองลัดที่ขุดใหม่ นานเข้าก็กลายเป็นแม่นํ้าเจ้าพระยาใหม่ดังปัจจุบันนี้ ส่วนแม่นํ้าเจ้าพระยาเดิมก็ ตื้นเขินกลายเป็นคลองไป
.. 2208 สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงเห็นว่า ตามที่แม่นํ้าเปลี่ยนทางเดินใหม่นั้น ทำให้ข้าศึกประชิดพระนครได้ง่าย จึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างป้อมปราการตรงปากแม่นํ้าอ้อม และโปรดให้ย้ายเมืองนนทบุรีมาอยู่ปากแม่นํ้าอ้อมด้วย (ต่อมาในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้รื้อป้อมและเมืองบางส่วน เพื่อนำอิฐไปสร้างวัดเฉลิมพระเกียรติ และบางส่วนก็ถูกกระแสนํ้า พัดเซาะพังทะลายลงนํ้าไป ปัจจุบันเหลือแต่ศาลหลักเมืองเท่านั้น)
นอกจากป้อมที่ปากแม่นํ้าอ้อมแล้ว เข้าใจว่าในสมัยกรุงศรีอยุธยาคงจะได้มีการสร้างป้อมไม้เอาไว้ที่บริเวณวัดเฉลิมพระเกียรติในปัจจุบันนี้ด้วย เพราะปรากฏหลักฐานจากจดหมายเหตุรายวันของบาทหลวง เดอ ซัวซีย์ (L’abbé de Choisy) ผู้ซึ่งเดินทางร่วมมากับคณะราชฑูตของพระเจ้าหลุยส์ ที่ 14 ที่เข้ามาเจริญทางพระราชไมตรีในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เมื่อ พ.. 2228 ว่า “….เช้าวันนี้เราผ่านป้อมที่ทำด้วยไม้ 2 ป้อม ป้อมหนึ่ง ยิงปืนเป็นการคำนับ 10 นัด อีกป้อมหนึ่ง 8 นัด ที่นี่มีแต่ปืนครกเท่านั้น ดินปืนดีมากทีเดียว ป้อมทางขวามือเรียกป้อมแก้ว (Hale de Cristal) และป้อมทางซ้ายมือเรียกป้อมทับทิม (Hale de Rubis) ณ ที่นี้เจ้าเมืองบางกอกก็กล่าวคำอำลาและอ้างเหตุว่าได้ควบคุมเรือขบวนมาส่งจนสุดแดนที่อยู่ในความปกครอง ของเมืองบางกอกแล้ว แล้วก็ลาท่านราชฑูตกลับไป……”
และใน ปี พ.. 2230 เมื่อลาลูแบร์เป็นราชฑูตเข้ามากรุงศรีอยุธยาก็ได้กล่าวถึงป้อมไม้แห่งนี้ไว้ด้วย โดยเขียนเป็นแผนที่เอาไว้อย่างชัดเจน (โปรดดูแผนที่) ตามหลักฐานดังกล่าว จึงเข้าใจว่าป้อมแก้ว คงตั้งอยู่ ณ บริเวณตลาดแก้ว ส่วนป้อมทับทิมเข้าใจว่าคงตั้งอยู่ ณ บริเวณหน้าวัดเฉลิม พระเกียรติ ปัจจุบันนี้
.. 2264 ในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ ได้ทรงโปรดให้ขุดคลองลัดเกร็ด ที่อำเภอปากเกร็ด ดังปรากฏในหลักฐานในพงศาวดารว่าในปีขาล จัตวาศก ทรงพระกรุณาโปรดให้พระธนบุรีเป็นแม่กอง เกณฑ์พลนิกายคนหัวเมืองปากใต้ให้ได้คน 10,000 เศษ ให้ขุดคลองเตร็ดน้อย ลัดคุ้งบางบัวทองนั้นคดอ้อมหนัก ขุดลัดตัดให้ตรงพระธนบุรีรับสั่งแล้วกราบบังคมลามาให้เกณฑ์พลนิกายในบรรดาหัวเมืองปากใต้ได้คน 10,000 เศษ ให้ขุดคลองเตร็ดน้อยนั้นลึก 6 ศอก กว้าง 6 วา ยาวทางไกลได้ 39 เส้นเศษ ขุดเดือนเศษจึงแล้ว…..”
.. 2307 ในรัชกาลสมเด็จพระที่นั่งสุริยามรินทร์ ได้มีเหตุการณ์สงครามเกี่ยวข้องกับจังหวัดนนทบุรี เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นก่อนที่จะเสียกรุงศรีอยุธยาแก่พม่าเพียงเล็กน้อยคือเมื่อมังมหานรธาเป็นแม่ทัพพม่ายกทัพเข้าตีเมืองทวาย เมืองตะนาวศรีได้แล้วยกติดตามตีพวกมอญมาจนถึงเมืองชุมพรได้โดยสะดวก จึงมีความกำเริบคิดยกเข้ามาตีกรุงศรีอยุธยา ดังปรากฏในพงศาวดารว่า “….ครั้น ณ เดือน 7 มังมหานรธาให้แยงตะยุกลับขึ้นไปแจ้งราชการ ณ กรุงอังวะ แล้วจึงปรึกษากันว่า เรามาตีเมืองทวายได้ บัดนี้หามีผู้ใดจะต้านต่อฝีมือทแกล้วทหารเราไม่ ควรเราจะยกเข้าไปชิงเอาซึ่งเศวตฉัตร ณ กรุงเทพมหานคร….....” แล้วมังมหานรธาก็เดินทัพมุ่งเข้าตีกรุงศรีอยุธยาโดยลำดับ จนถึงเมืองนนทบุรี ซึ่งก็ถูกมังมหานรธาตีแตกเช่นเดียวกับเมืองรายทางอื่นๆ ดังพงศาวดารกล่าวว่า "……..ครั้ง ณ เดือน 10 พม่ายกทัพเรือลงมาตีค่าย (บาง) บำรุแตก แล้วยกมาตีเมืองนนทบุรีได้.........”
เมื่อพม่าตีได้เมืองนนทบุรีแล้ว ขณะนั้นมีเรือกำปั่นอังกฤษเข้ามาค้าขายที่ธนบุรีจึงรับอาสาช่วยรบพม่า พม่าเอาปืนใหญ่ตั้งบนป้อมวิชาเยนทร์ ยิงโต้ตอบกับกำปั่นในที่สุดกำปั่นถอนสมอหนีไปอยู่ที่เมืองนนท์ เมืองนนทบุรีจึงเป็นยุทธภูมิระหว่างเรือกำปั่นอังกฤษกับพม่า ดังปรากฏในพงศาวดารว่า “……..ฝ่ายทัพพระยายมราช ซึ่งตั้งอยู่ ณ เมืองนนท์นั้น ก็เลิกหนีขึ้นไปเสีย พม่าตั้ง (อยู่) เมืองธนบุรีแล้ว จึงแบ่งกันขึ้นมาตั้งค่าย ณ วัดเขมา ตำบลตลาดแก้วทั้งสองฟาก ครั้นเพลากลางคืนนายกำปั่น จึงขอเรือกราบมาชักสลุบล่องลงไป ไม่ให้มีปากเสียงครั้นตรงค่ายพม่า ณ วัดเขมาแล้ว ก็จุดปืนรายแคมพร้อมกันทั้งสองข้าง ฝ่ายพม่าต้องปืนล้มตายเจ็บลำบาก แตกวิ่งออกจากค่าย ครั้นนํ้าขึ้นเพลาเช้า สลุบถอยมาหากำปั่น ซึ่งทอดอยู่ ณ ตลาดขวัญ ฝ่ายพม่าก็ยกเข้าค่ายเมืองนนทบุรี......."
ประวัติความเป็นมาของประชากรในจังหวัดนนทบุรี
ประชากรของจังหวัดนนทบุรีประกอบไปด้วยชนชาวไทยที่สืบเชื้อสายมาจากหลายเชื้อชาติมีทั้งไทย จีน มอญ แขก เป็นต้น
ชนชาติไทยมีอยู่ทั่วไปทุกอำเภอ เป็นชนส่วนใหญ่ที่สุดของจังหวัด แต่เดิมอยู่ที่ใดมาจากไหน ไม่มีหลักฐานปรากฏแน่ชัด รองลงไปเป็นเชื้อสายจีน ซึ่งไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่าได้เข้ามาอยู่ในจังหวัดนนทบุรีตั้งแต่เมื่อใด สันนิษฐานว่าคงจะเข้ามาอยู่ตั้งแต่ในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี
นอกจากนี้ ยังมีชนชาติที่อพยพเข้ามาภายหลังอีกสองเชื้อชาติ คือ ชาวไทยเชื้อสายมอญและชาวไทยเชื้อสายมลายู ชาวไทยสองเชื้อชาตินี้อพยพมาอยู่ในจังหวัดนนทบุรีตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาสมัยกรุงธนบุรี ตลอดจนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ดังปรากฏหลักฐานในหนังสืออักขรานุกรมภูมิศาสตร์ไทย ดังนี้ "..ในจังหวัดนี้มีชาวไทยที่สืบเชื้อสายมาจากมอญอยู่มากแถวอำเภอปากเกร็ด ตั้งแต่ปากคลองบางตลาดฝั่งเหนือลำแม่นํ้าเจ้าพระยา ด้านตะวันออกและตะวันตก ตำบลอ้อมเกร็ด เหนือคลองบางภูมิขึ้นไป รวมทั้งเกาะเกร็ดด้วย มีชาวไทยที่สืบเชื้อสายมาจากมอญ ซึ่งอพยพเข้ามาพึ่งบรมโพธิสมภารในสมัยกรุงธนบุรี เมื่อ พ.ศ. 2317 คราวหนึ่งกับเมื่อ พ.ศ. 2358 ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 2 อีกคราวหนึ่ง เรียกว่ามอญใหม่ โปรดให้แบ่งครอบครัวไปอยู่เมืองปทุมธานีบ้าง เมืองนนทบุรีบ้าง และเมืองนครเขื่อนขันธ์ ซึ่งบัดนี้เป็นอำเภอพระประแดง ขึ้นจังหวัดสมุทรปราการบ้าง
ไทยอิสลามที่ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ตำบลบางกระสอ และที่บ้านตลาดแก้ว ในตำบลบางตะนาวศรี อำเภอเมืองนนทบุรี มีเชื้อสายเป็นชาวปัต ตานี มาอยู่ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เฉพาะตำบลบาง กระสอต้นตระกูลได้เป็นแม่ทัพนายกองคนสำคัญของไทยหลายคน
ไทยอิสลามที่ตำบลท่าอิฐ อำเภอปากเกร็ด เป็นเชื้อสายชาวเมืองไทรบุรี เข้ามาอยู่ใน รัชกาลที่ 3
ไทยชาวเมืองตะนาวศรี มีรายงานอำเภอสอบสวนได้ความว่า ได้เข้ามาตั้งภูมิลำเนาอยู่ที่ตำบลบางตะนาวศรี อำเภอเมืองนนทบุรี ในรัชกาลสมเด็จพระที่นั่งสุริยาสอมรินทร์ พ.ศ. 2302 ครั้งทัพไทยตั้งรวมพลอยู่ที่แก่งตูม นอกเขตไทยต้นแม่นํ้าตะนาวศรี พม่ายกทัพจะมาตีชาวตะนาวศรี ก็หนีเข้ามา....
ในด้านประวัติศาสตร์วรรณคดีที่กล่าวถึงเมืองนนท์ในอดีต กวีหลายท่านได้เดินทาง ผ่านคลองบางกอกน้อยไปตามคลองวัดชลอ แล้วไปตามแม่นํ้าอ้อมจนถึงบางใหญ่ เข้าคลองบางใหญ่ ไปออกแม่นํ้านครชัยศรี บางท่านก็ผ่านเพียงคลองบางกอกน้อย คลองวัดชลอ ไปออกคลอง มหาสวัสดิ์ แล้วเกิดความบันดาลใจให้สร้างวรรณคดีประเภทนิราศอันไพเราะไว้หลายเรื่อง ในบทกวี ได้กล่าวถึงสถานที่สำคัญๆ ของเมืองนนท์ ไว้หลายแห่ง ซึ่งแสดงว่าสถานที่เหล่านี้อดีตเคยมี ความรุ่งเรืองมาในประวัติศาสตร์มาก่อนซึ่งจะกล่าวได้ดังต่อไปนี้
1. บางขวาง บางขวางเป็นชื่อคลองอยู่ในท้องที่อำเภอบางกรวย เรียกว่าคลองขวางแยกจากคลองมหาสวัสดิ์ ตรงข้ามวัดชัยพฤกษมาลา ไปบรรจบกับคลองบางระนก ถือว่าเป็นคลองประวัติศาสตร์สุนทรภู่เขียนไว้ในโคลงนิราศสุพรรณว่า


บางขวางข้างเขตแคว้น
แขวงนนท์

สองฟากหมากมะพร้าวผล
พรรคไม้

หอมรื่นชื่นเช่นปน
แป้งประ ปรางเอย

เคลิ้มจิตคิดว่าใกล้
กลิ่นเนื้อเจือจันทร์
ฯลฯ
และในนิราศพระประธมว่า


ถึงบางขวางปางก่อนว่ามอญขวาง
เดี๋ยวนี้นางไทยลาวแก่สาวสอน

ทำยกย่างขวางแขวนแสนแสงอน
ถึงนางมอญก็ไม่ขวางเหมือนนางไทย
2. วัดชลอ เป็นชื่อตำบลและชื่อวัด ตั้งอยู่ริมคลองวัดชลอฝั่งใต้ในเขตอำเภอบางกรวยพระอุโบสถของวัดชลอแสดงเค้าว่าเป็นฝีมือเก่าถึงสมัยอยุธยา แต่ได้ซ่อมแซมบูรณะจนเปลี่ยนรูปไปมากแล้ว เมื่อเร็วๆ นี้ ทางวัดได้พบพระเจดีย์โลหะ 2 องค์ บรรจุภายในซากเจดีย์เก่าเหนือพระอุโบสถ ซึ่งท่านเจ้าอาวาสได้มอบให้นำมาเก็บรักษาไว้ ณ พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติแล้ว
นายมี ครั้งเป็นหมื่นพรหมสมพัตสร ไปเก็บอากรที่เมืองสุพรรณเมื่อผ่านวัดชลอไปก็รำพึงไว้ในนิราศสุพรรณว่า


บรรลุถึงวัดชลอก็รอจิต
ใครช่างคิดชลอวัดไม่ขัดสน

ถ้าไม่ชลอก็จะนั่งลงวังวน
ชลอพ้นที่จะพังจึงยั่งยืน

แต่ชลอจิตมนุษย์นี่สุดยาก
เอาพรวนลากก็ไม่ไหวอย่าได้ขืน

ใครขัดขวางนํ้าใจเหมือนไฟฟืน
ทั้งแผ่นพื้นภพไตรใจเหมือนกัน
ฯลฯ
เมื่อสุนทรภู่ผ่านหน้าวัดชลอตรงไปพระประธม ได้เขียนไว้ในนิราศพระประธมว่า


วัดชะลอใครหนอชะลอฉลาด
เจ้าอาวาสมาไว้ให้อาศัยสงฆ์

ช่วยชะลอวรลักษณ์ที่รักทรง
ให้มาลงเรือร่วมนวมที่นอน ฯ
ฯลฯ
3. วัดโพบางโอ ทางฝั่งใต้ของลำคลองแม่นํ้าอ้อม มีวัดอยู่หลายวัด เช่น วัดตะโหนด วัดโพบางโอ โดยเฉพาะที่วัดโพนี้ เป็นวัดโบราณอยู่ในตำบลบางขนุน อำเภอบางกรวย มีภาพเขียนสีเป็นเรื่องปริศนาธรรมที่ฝาผนังภายในพระอุโบสถ ซึ่งนับว่ามีแนวความคิดแปลกกว่าที่อื่นและมีภาพเขียนใส่กรอบติดไว้เหนือหน้าต่างพระอุโบสถ ภาพเขียนในกรอบเหล่านี้เป็นภาพชาวฝรั่งเศสเขียนลงบนกระจกใส ภาพชัดเจนแจ่มใส และงดงามน่าสนใจมาก หน้าบันพระอุโบสถเป็นเครื่องไม้จำหลักลวดลายและฝีมืองามเช่นกัน และมีตุ๊กตาหินพวกเซียนหรือตัวละครในวรรณคดีบานประตูพระอุโบสถด้านในเขียนภาพจับ และว่าท่านวัดเพลงเป็นผู้เขียนภาพจิตรกรรม คงจะหมายถึงอาจารย์นาค
กรมหลวงเสนีบริรักษ์ (ต้นสกุล เสนีวงศ์) พระโอรสในกรมพระราชวังหลังทรงสร้างวัดนี้ในรัชกาลที่ ๓ และสกุลเสนีวงศ์ได้บูรณะปฏิสังขรณ์สืบต่อมาใน พ.ศ. 2483 ได้ขอเปลี่ยนชื่อวัดเป็น วัดโพเสนี
4. บางขนุน เป็นตำบลอยู่ริมคลองแม่นํ้าอ้อมฝั่งใต้ ในเขตอำเภอบางกรวยมีคลอง บางขนุนแยกจากคลองแม่นํ้าอ้อมเข้าไป ในคลองนี้มีวัดบางขนุน เป็นวัดโบราณ มีหอไตรเก่าภายในพระอุโบสถมีภาพจิตรกรรมฝาผนัง
ครั้นเมื่อสุนทรภู่ไปพระประธม ได้รำพึงถึงบางขนุนและบางขุนกองไว้ในนิราศพระประธม มีความอ้างอิงเชิงประวัติศาสตร์ ว่าเดิมชื่อ บางถนน มีมาตั้งแต่ครั้งท้าวอู่ทอง ดังนี้


บางขนุนขุนกองมีคลองกว้าง
ว่าเดิมบางชื่อถนนเขาขนของ

เป็นเรื่องหลังครั้งคราวท้าวอู่ทอง
แต่คนร้องเรียกเฟือนไม่เหมือนเดิม
5. บางนายไกร บางนายไกรอยู่ในเขตตำบลบางขุนกอง อำเภอบางกรวย มีคลองแยกจากคลองแม่นํ้าอ้อมทางฝั่งตะวันตก เรียกว่า คลองบางนายไกรมีวัดบางนายไกรนอกตั้งอยู่ปากคลอง มีเคหสถานบ้านเรือนเป็นหลักฐานหนาแน่นมาก ท้องที่แถบนี้คงจะเป็นที่รู้จักกันดี เพราะเป็นสถานที่ ซึ่งมีเรื่องราวเกี่ยวข้องกับวรรณคดีสำคัญเรื่องหนึ่ง คือเรื่อง ไกรทอง ปรากฏว่า กวีเกือบทุกท่านที่ผ่านบางนายไกรมักไม่เว้นกล่าวถึง
สุนทรภู่เมื่อไปพระประธม ก็ได้เขียนนิราศกล่าวถึงเรื่องราวของบางนายไกรไว้ว่า


บางนายไกรไกรทองอยู่คลองนี้
ชื่อจึงมีมาทุกวันเหมือนมั่นหมาย

ไปเข่นฆ่าชาละวันให้พลันตาย
เป็นเลิศชายเชี่ยวชาญผ่านวิชา

ได้ครอบครองสองสาวชาวพิจิตร
สมสนิทนางตะเข้เสน่หา

เหมือนตัวพี่นี้ได้ครองแต่น้องมา
จะเกื้อหน้าพางามขึ้นครามครัน ฯ
6. วัดปรางค์หลวง ตั้งอยู่ริมคลองแม่นํ้าอ้อมฝั่งตะวันตกเหนือปากคลองบางค้อวัดนี้เป็นวัดโบราณ คงเก่าถึงสมัยอยุธยา ซึ่งกล่าวกันว่า พระเจ้าอู่ทองเป็นผู้ทรงสร้าง มีพระอุโบสถเก่าทรุดโทรมมาก กับมีพระปรางค์ใหญ่ก็ชำรุดทรุดโทรมและถูกขุดจนพรุน แต่ยังทรงลักษณะพอเห็นฝีมือ ก่อสร้างได้ ชาวบ้านแถบนั้นเล่าว่า เคยมีผู้ขุดได้พระและตะปูสังฆวานรที่เป็นของใช้ในการก่อสร้างสมัยอยุธยา พระปรางค์องค์นี้ยังคงมีทรงรูปนอกเป็นแบบระฆังทรงสูงเหลือไว้ให้เห็น ซึ่งทำให้ตัวพระปรางค์ดูสง่างาม พระปรางค์องค์นี้ก็เช่นกัน ได้ถูกนํ้ามือของพวกทำลาย ศาสนา แสวงหาทรัพย์สมบัติ ทลายด้านหน้าของพระปรางค์ทั่วไปเสียส่วนหนึ่ง ส่วนอีกสามด้านนั้นมีพระพุทธรูปปูนปั้น จำหลักนูนสูงประดิษฐานอยู่ในซุ่มจระนำ พระพุทธรูปดังกล่าวมีความงดงามตามแบบศิลปอยุธยาโดยเฉพาะ กล่าวคือ มีความแข็งกร้าวของพระพุทธรูปสมัยอู่ทองผสมอยู่กับ แบบอันงดงามของศิลปสุโขทัย
กรมหลวงวงศาธิราชสนิท ทรงพรรณนาไว้ในนิราศพระประธม เรียกว่าวัดหลวง ดังนี้          



วัดหลวงคิดคู่ร้าง
เวียงหลวง

ร้างศุขสิ่ง เกษมทรวง
เสื่อมสิ้น

มาเดียวอดูรดวง
แดเด็ด สวาดิ์แม่

ยามดึกสดุ้งยุงริ้น
เหลือบล้อมตอมกวน ฯ "
7. บางสนาม บางสนามอยู่ทางฝั่งตะวันออกของคลองวัดชลอ เหนือวัดพิกุลขึ้นไปมีคลองแยกเข้าไปจากคลองวัดชลอ และมีวัดสนามนอกอยู่ปลายคลอง
กรมหลวงวงศาธิราชสนิททรงพระนิพนธ์เกี่ยวกับบางสนามไว้ในนิราศพระประธมว่าที่บางสนามนี้มีศาลเจ้า ซึ่งมีเทพารักษ์ศักดิ์สิทธิ์ ทรงอธิษฐานต่อเทพารักษ์ที่ศาลเจ้าบางสนามไว้ว่า


มาลุศาลจ้าวปาก
บางสนาม

สนามเล่นสิ่งใดถาม
ห่อนแจ้ง

เทพารักษ์แถลงความ
บอกหน่อย หนึ่งพ่อ

สนามสนุกนี้เรียมแล้ง
ขาดเศร้าเซาเขษม ฯ


ศาลสถิตศักดิ์สิทธิ์ท้าว
เทพา พ่อฤา


เชิญผดุงกานดา
แม่ด้วย


ใครอย่าริเริ่มตุนา-
หงันแม่ อีกแม่


แม้หลุดสุดมือม้วย
สวาดิ์แล้วเผาศาล ฯ









8. บางกรวย เป็นชื่อตำบล มีคลองบางกรวยแยกจากแม่นํ้าเจ้าพระยาฝั่งตะวันตก ตรงข้ามวัดเขมาภิรตาราม มาต่อกับคลองวัดชลอที่ขุดในรัชกาลสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ เหนือวัดชลอ คลองบางกรวยนี้แต่เดิมก็เป็นตอนหนึ่งของแม่นํ้าเจ้าพระยา แต่เมื่อขุดคลองใหม่ กระแสนํ้าเปลี่ยนจากแม่นํ้าอ้อม มาเดินทางหน้าวัดเฉลิมพระเกียรติ แม่นํ้าเดิมจึงแคบและตื้นเขินกลายเป็นคลองไป
เมื่อสุนทรภู่ผ่านมาถึงบางกรวย คราวไปสุพรรณใน พ.ศ. 2384 ได้รำพึงถึงภรรยาที่ชื่อนิ่ม ซึ่งเป็นชาวบางกรวย นิ่มได้ถึงแก่กรรมไปแล้ว 9 ปี (คือตั้งแต่ พ.ศ. 2376) สุนทรภู่อธิษฐานให้นิ่มภรรยาไปสวรรค์ กล่าวไว้ในโคลงนิราศสุพรรณว่า


บางกรวยกรวดนํ้าแบ่ง
บุญทาน

ส่งนิ่มนุชนิพพาน
ผ่องแผ้ว

จำจากพรากพลัดสถาน
ทั้งพี่ หนีเอย

เห็นแต่คลองน้องแคล้ว
คลาดเคลื่อนเดือนปี
สุนทรภู่มีบุตรกับนิ่มคนหนึ่งชื่อ ตาบ ซึ่งต่อมาจนถึงรัชกาลที่ 5 และเจริญรอยเป็นกวีตามบิดา มีเพลงยาวนิราศของนายตาบปรากฏอยู่ในคราวไปพระประธม เมื่อ พ.ศ. 2385 ตาบก็ไปกับสุนทรภู่ด้วย ซึ่งท่านได้เขียนไว้ในนิราศพระประธมว่า


เห็นคลองขวางบางกรวยระทวยจิต
ไม่ลืมคิดนิ่มน้อยละห้อยหา

เคยร่วมสุขทุกข์ร้อนแต่ก่อนมา
โอ้สิ้นอายุเจ้าได้เก้าปี

แต่ก่อนกรรมทำสัตว์ให้พลัดพราก
จึงจำจากนิ่มน้องให้หมองศรี

เคยไปมาหาน้องในคลองนี้
เห็นแต่ที่ท้องคลองนองนํ้าตา
จังหวัดนนทบุรีในรอบ ๒๐๐ ปี ของกรุงรัตนโกสินทร์
เมืองนนทบุรีจะมีความเป็นมา หรือจะพัฒนาอย่างไรบ้างในรอบ 200 ปี ของกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นเรื่องที่น่าสนใจ สิ่งที่พัฒนานั้นคงได้แก่ การปกครอง การเศรษฐกิจ การคมนาคม การศึกษา การศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรม และประเพณี การพัฒนาต่างๆ คงจะต้องดำเนินไปทั้งภาครัฐบาลและภาคเอกชน
ในระยะเริ่มต้นตั้งกรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานี ภาครัฐบาลอันได้แก่ องค์พระมหากษัตริย์ ยังคงมีพระราชภารกิจหลายด้าน อาทิ การสร้างกรุง การสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งด้านการ พระราชไมตรี และการสงคราม ตลอดทั้งการทำนุบำรุงประเทศประการอื่นๆ โดยส่วนรวมการจะพัฒนาเมืองนนทบุรีอันเป็นเมืองขนาดเล็กคงทำได้น้อย จึงไม่ใคร่พบหลักฐานเกี่ยวกับการพัฒนาเมืองนนทบุรีทั้งภาครัฐบาลและภาคเอกชน โดยเฉพาะในสมัยรัชกาลที่ 1 - รัชกาลที่ 4 ในรัชกาลต่อๆ มาเมืองนนทบุรีจึงค่อยๆ เจริญขึ้นตามลำดับอาจกล่าวได้ว่า เมืองนนทบุรีพัฒนารวดเร็ว รุดหน้า และมากที่สุดในสมัยรัชกาลที่ 9 นี้เองซึ่งจะกล่าวถึงโดยแบ่งช่วงเวลาตามรัชสมัยขององค์พระมหากษัตริย์ดังต่อไปนี้
สมัยรัชกาลที่ 1 - รัชกาลที่ 4 (พ.ศ. 2325  - พ.ศ. 2411)
รัชกาลที่ 1 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช พ.ศ. 2325 - พ.ศ. 2352
รัชกาลที่ 2 พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พ.ศ. 2352 - พ.ศ. 2367 
รัชกาลที่ 3 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พ.ศ. 2367 - พ.ศ. 2394
รัชกาลที่ 4 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พ.ศ. 2394 - พ.ศ. 2411
เมืองนนทบุรีในสมัยรัชกาลที่ 1 - รัชกาลที่ 4 จัดอยู่ในประเภทหัวเมืองปักษ์ใต้เป็นเมืองขึ้นของกรมท่า ชื่อเมืองนนทบุรีศรีมหาสมุทร ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 4 ได้เปลี่ยนชื่อใหม่ ครั้งแรกเปลี่ยนเป็นเมืองนนทบุรีศรีมหาอุทยาน ผู้ว่าราชการเมือง คือ พระนนทบุรีศรีมหาอุทยาน ต่อมาได้เปลี่ยนเป็นพระนนทบุรีศรีเกษตราราม หลวงปลัด ได้แก่ หลวงสยามนนทเขตต์ขยันปลัด ทรงเห็นว่าในแขวงเมืองนนทบุรีมีชาวรามัญตั้งบ้านเรือนอยู่มาก จึงตั้งหลวงรามัญเขตต์คดี ปลัดรามัญขึ้นอีกตำแหน่งหนึ่ง
เนื่องจากกฎหมายที่ใช้ในการปกครองประเทศนี้ ใช้สืบต่อกันมาแต่รัชกาลที่ 1 จึงขอคัดลอกข้อความบางตอนเกี่ยวกับหน้าที่ของผู้ปกครองหัวเมือง ซึ่ง วนิดา สถิตานนท์ เขียนไว้ในหนังสืออ่านเพิ่มเติมระดับประถมศึกษา เรื่อง พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ดังนี้
พระเจ้าอยู่หัวตรัสสั่งให้ไปรั้งเมือง ครองเมือง ให้รักษาพยาบาลไพร่ฟ้าข้าไทท่านแลให้รับรองสุขทุกข์ราษฎรทั้งปวงและรักษาถิ่นฐานบ้านนอกขอบชนบท มิให้มีโจรผู้ร้ายแลคนกรรโชกราษฎร ถ้าผู้รั้งเมือง ผู้ครองเมือง ผู้ใดรักษาได้ ท่านว่ามีบำเหน็จในแผ่นดิน ถ้าแลโจรผู้ร้ายกรรโชกราษฎรเกิดชุกชุมขึ้นเหลือกำลังระงับมิได้ ก็ให้บอกมายังลูกขุน ณ ศาลาให้บังคมทูลแต่สมเด็จบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว จึงจะพ้นโทษ ถ้าแลผู้รั้งเมือง ผู้ครองเมืองมิได้กำชับจับกุม ละเลยให้โจรและผู้กรรโชกราษฎรชุกชุมขึ้นได้ ท่านว่าผู้นั้นละเมิด ต้องในระวางกรรโชกให้ลงโทษ 6 สถาน
การเศรษฐกิจของชาวเมืองนนทบุรีในสมัยนั้น คงขึ้นอยู่กับอาชีพการเพาะปลูกทำนา ทำสวน เป็นพื้น การคมนาคมคงใช้ทางนํ้าเป็นส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นการค้าขาย หรือการไปมาหาสู่ หลักฐานที่พอจะอ้างได้ ได้แก่ นิราศต่าง ๆ ของสุนทรภู่ ซึ่งจะขอคัดบางตอนมากล่าวไว้
จากนิราศพระบาท ซึ่งแต่งเมื่อปลายปี พ.. 2350 ในสมัยรัชกาลที่ 1 ขณะเดินทางผ่านบางซ่อน เข้าเขตเมืองนนทบุรี กล่าวไว้ดังนี้


ถึงนํ้าวนชลสายที่ท้ายย่าน
เขาเรียกบ้านวัดโบสถ์ตลาดแก้ว

จะเหลียวกลับลับวังมาลิบแล้ว
พี่ลับแก้วลับบ้านมาย่านบาง

พฤกษาสวนล้วนได้ฤดูดอก
ตระหง่านงอกริมกระแสแลสล้าง

กล้วยระกำอัมพาพฤกษาปราง
ต้องนํ้าค้างช่อชุ่มเป็นพุ่มพวง
และอีกตอนหนึ่ง กล่าวว่า


ถึงแขวงแควแพตลอดตลาดขวัญ
เป็นเมืองจันตะประเทศรโหฐาน

ตลิ่งเบื้องบูรพาศาลาลาน
เรือขนานจอดโจษกันจอแจ

พินิจนางแม่ค้าก็น่าชม
ท้าคารมเร็วเร่งอยู่เซ็งแซ่…...…”
จากนิราศวัดเจ้าฟ้า ซึ่งสุนทรภู่แต่งเป็นของเณรหนูพัด ผู้บุตร เขียนไว้เมื่อครั้งยังอุปสมบทเป็นพระภิกษุ และเดินทางไปวัดแก้วฟ้า ที่อยุธยา ราว พ.. 2375 กล่าวไว้ว่า
ตลาดแก้วแล้วแต่ล้วนสวนสล้าง          เป็นชื่ออ้างออกนามตามวิสัย
จากโคลงนิราศสุพรรณ แต่งไว้ราว พ.. 2384 ในสมัยรัชกาลที่ 3 สุนทรภู่เดินทางผ่านทางคลองบางกอกน้อย เลี้ยวเข้าคลองบางใหญ่ ก็ได้กล่าวถึงสภาพของเมืองนนท์ทางฝั่งตะวันตกไว้หลายประการ ดังนี้


บางศรีทองคลองบ้านเท่า
เจ้าคลอง

สีเพชผัวสีทอง
ถิ่นนี้

เลื่องฦาชื่อเสียงสนอง
สำเหนียก นามเอย

คลองคดลดเลี้ยวชี้
เช่นไสร้สีทอง


ล่วงทางบางบ้านเรียด
ริมชลา


สองฝั่งพรั่งพฤกษา
สลับสล้าง


ไม้ปลูกลูกดอกดา
ดกดาศ กลาดเอย


ทรงกลิ่นรินรื่นข้าง
ขอบคุ้งฟุ้งขจร ฯ









และอีกตอนหนึ่ง กล่าวว่า


บางกร่างข้างคุ้งค่าม
เขตคลอง

บางขนุนขุนกอง
ก่อสร้าง

ของสวนส่วนเจ้าของ
ขายน่า ท่าเอย

สาวแก่แม่หม้ายบ้าง
บกนํ้าลำเรือ ฯ


โรงหีบหนีบอ้อยออด
แอดเสียง


สองข้างรางรองเรียง
รับนํ้า


อ้อยไส่ไล่ควายเคียง
คู่วิ่ง เวียรเอย


อกพี่นี้ชอกชํ้า
เช่นอ้อยย่อยรยำ









สุนทรภู่กล่าวถึงบางคูเวียงตลอดถึงบางใหญ่ไว้ดังนี้




บางคูเวียงเสียงสงัดล้วน
สวรไสว

เวียงชื่อครีท้าวไท
ท่านตั้ง

เวียงราชคลาศแคล้วไกล
กลับระลึก นึกเอย

ยามยากจากเมืองทั้ง
ถิ่นปลื้มลืมกเษม ฯ


บางม่วงทรวงเศร้าคิด
เคยชวน


ม่วงเกบมม่วงสวน
ศุกร - ย้า


ม่วงอื่นรื่นรันจวน
จิตไม่ ใคร่แฮ


ม่วงหม่อมหอมห่วนหน้า
เสน่ห์เนื้อเจือจรร ฯ









ฯลฯ


ล่วงทางบางใหญ่บ้าน
ด่านคอย

เลี้ยวล่องคลองเล็กลอย
เลื่อนช้า

สองฝั่งพรั่งพฤกษ์พลอย
เพลินชื่น ชมแฮ

แลเหล่าชาวสวนหน้า
เสน่ห์น้องครองสนอม ฯ


คลองคดเลี้ยวลดล้วน
หลักตอ


เกะกระเรือรอ
ร่องนํ้า


คดคลองช่องแคบพอ
พายถ่อ พ่อเอย


คนคดลดเลี้ยวลํ้า
กว่านํ้าลำคลอง ฯ



ล่วงย่านบ้านวัดร้าง
เรือนโรง


ตกทุ่งถึงคลองโยง
หย่อมไม้


วัดใหม่ธงทองโถง
ที่ติด ตื้นแฮ


ควายลากฝากเชือกไขว้
เคลื่อนคล้อยลอยเสน ฯ "









จากนิราศอีกเรื่องหนึ่ง คือ นิราศพระประธม สุนทรภู่แต่งเมื่อครั้งเดินทางไปมนัสการ พระประธม ที่จังหวัดนครปฐม ราว พ.ศ. 2385 ในสมัยรัชกาลที่ 3 เช่นกัน สุนทรภู่เดินทางโดยทางเรือจากวัดระฆัง เข้าคลองบางกอกน้อย ผ่านบางกรวย บางใหญ่ เข้าคลองบางใหญ่ออกคลองโยงไปสู่นครปฐม เส้นทางที่ผ่านเมืองนนทบุรี เป็นเส้นทางเดียวกับที่จะไปสุพรรณบุรี แต่การบรรยายถึงสภาพเมืองนนท์ในนิราศพระประธม ละเอียดกว่านิราศสุพรรณบุรี เช่น กล่าวถึง วัดชะลอ, วัดบางอ้อยช้าง, วัดสัก, บางขุนกอง, บางนายไกร และคลองบางระนก เป็นต้นเห็นจะเป็นเพราะแต่งเป็นกลอนจึงบรรยายได้ดีกว่าโคลง ท่านที่สนใจควรลองอ่านดูทั้งเรื่อง จะได้ทั้งอรรถรสของภาษา และความรู้เชิงภูมิศาสตร์ประวัติศาสตร์ในสมัยนั้นไว้ประดับสติปัญญา จะขอนำมากล่าวอ้างไว้บางตอนดังนี้


บางขนุนขุนกองมีคลองกว้าง
ว่าเดิมบางชื่อถนนเขาขนของ

เป็นเรื่องหลังครั้งคราวท้าวอู่ทอง
แต่คนร้องเรียกเฟือนไม่เหมือนเดิม
ฯลฯ


ถึงคลองขวางบางระนกโอ้อกพี่
แม้นปีกมีเหมือนหนึ่งนกจะผกผัน

ไปอุ้มแก้วแววตาพาจรัล
มาด้วยกันทั้งคู่ที่อยู่ริม
ในปัจจุบันนี้ คลองบางระนกก็ยังคงมีอยู่ ท่านที่เคยนั่งเรือผ่านไปในคลองจะพบว่ายังคง มีบ้านที่ปลูกในลักษณะทรงไทยเหลืออยู่หลายหลัง แสดงว่าถิ่นนี้เป็นแหล่งชุมชนที่อาศัยกันมายั่งยืน
จากนิราศต่าง ๆ ที่อ้างมาล้วนแสดงว่า ชาวเมืองนนท์ได้ประกอบอาชีพทางทำสวนผลไม้มานานแล้ว มีข้อสังเกตคือ กวีมิได้กล่าวถึง ทุเรียน ซึ่งเป็นผลไม้มีชื่อที่มีชื่อเสียงของเมืองนนท์อาจเป็นเพราะในสมัยนั้น จะยังไม่นิยมปลูกทุเรียนกันนัก แต่กวีอีกผู้หนึ่งคือ นายมี ซึ่งแต่งนิราศสุพรรณ ไว้เมื่อ พ.ศ. 2383 ขณะเดินทางถึงบางใหญ่ได้พรรณนาถึงผลไม้ไว้หลายชนิดและได้กล่าวถึงทุเรียนไว้ด้วย ดังนี้


รำพันพลางทางมาถึงบางใหญ่
พิศดูหมู่ไม้ในสวนศรี

ม่วงทุเรียนมังคุดละมุดมี
ทั้งลิ้นจี่ลำไยมะไฟเฟือง


มะปรางปริงกิ่งแปล้แต่ละต้น
เป็นพวงผลสุกงามอร่ามเหลือง


ลูกไม้สวนสารพัดไม่ขัดเคือง
เป็นผลเนื่องตามฤดูไม่รู้วาย









ฯลฯ
อาชีพอย่างหนึ่งของชาวเมืองนนท์ที่นักกวีกล่าวถึง ได้แก่ การหีบอ้อย แสดงว่ามีการ ปลูกอ้อย และการทำนํ้าตาลอ้อยกันมานานแล้ว โรงหีบเดิมอยู่ฝั่งทางตะวันออกของคลองแม่นํ้าอ้อมแต่ปัจจุบันนี้มีอยู่ทางฝั่งตะวันตก ใช้เครื่องจักรแทนเครื่องหีบอ้อยแต่โบราณซึ่งใช้แรงควายหมุนในปัจจุบันมีโรงงานทำนํ้าตาลอ้อยที่ทันสมัยเกิดขึ้นมากในจังหวัดต่างๆ อาชีพทำนํ้าตาลอ้อยของชาวบางศรีทองบางคูเวียง จึงเหลือเพียงเล็กน้อยบทกวีที่กล่าวถึงโรงหีบอ้อยของจังหวัดนนทบุรี เช่นเมื่อคราวสุนทรภู่เดินทางไปพระประธม ก็เขียนไว้ในนิราศพระประธม ว่า


เห็นโรงหีบหนีบอ้อยเขาคอยป้อน
มีคนต้อนควายตวาดไม่ขาดเสียง

เห็นนํ้าอ้อยย้อยรางที่อ่างเรียง
โอ้พิศเพียงชลนาที่จาบัลย์
ในช่วงระยะเวลารัชสมัยขององค์พระมหากษัตริย์ทั้ง 4 พระองค์นี้ สันนิษฐานได้ว่าการจัดการศึกษาคงมีแต่เพียงในวัดเป็นส่วนใหญ่ พระสงฆ์เป็นผู้สั่งสอนอบรมแก่ชายที่บวชหรือผู้ที่ปรนนิบัติพระ ผู้หญิงยังไม่มีโอกาสได้ศึกษาเล่าเรียน เพราะในสมัยนั้นยังไม่ได้ส่งเสริมการศึกษากันอย่างกว้างขวาง
ส่วนการศาสนาก็คงจะมีลักษณะไม่ต่างจากปัจจุบันเท่าใดนัก กล่าวคือ คนไทยส่วนมาก นับถือศาสนาพุทธ พอใจในการทำบุญสุนทร์ทาน การสร้างวัด สังเกตได้ว่า วัดในจังหวัดนนทบุรีมีวัดเก่าแก่อยู่เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในเขตอำเภอเมืองนนทบุรี อำเภอปากเกร็ด อำเภอบางกรวย และอำเภอบางใหญ่ วัดส่วนมากตั้งอยู่ริมแม่นํ้า ลำคลอง บางแห่งตั้งอยู่ติด ๆ กัน เช่น ที่คลองบางกอกน้อย และคลองอ้อม วัดสำคัญที่ควรกล่าวถึงได้แก่
1. วัดเขมาภิรตาราม อยู่ตำบลสวนใหญ่ (เหนือตลาดแก้ว) ริมฝั่งแม่นํ้าเจ้าพระยาตรงปากคลองบางกรวยข้าม เดิมชื่อ วัดเขมาเป็นวัดโบราณ สร้างครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี กรมสมเด็จพระศรีสุริเยนทรามาตย์ ทรงสถาปนาขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 2 ครั้นสมัยรัชกาลที่ 4 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงปฏิสังขรณ์ ทรงต่อสร้อยนามวัดว่า วัดเขมาภิรตารามวัดนี้จึงจัดเป็นพระอารามหลวงชั้นโท ซึ่งจะกล่าวถึงโดยละเอียดในบทต่อไป
2. วัดเฉลิมพระเกียรติวรวิหาร อยู่ริมฝั่งแม่นํ้าเจ้าพระยาฝั่งตะวันตกใต้ปากคลองอ้อมเยื้องกับศาลากลางจังหวัดนนทบุรีในปัจจุบัน วัดนี้สร้างในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเพื่ออุทิศพระราชทานสมเด็จพระศรีสุลาไลยพระบรมราชชนนี แต่ยังไม่สำเร็จ ก็เสด็จสวรรคตเสียก่อน ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงสร้างเพิ่มเติมจนสำเร็จบริบูรณ์ สมดังที่ทรงตั้งพระราชหฤทัยไว้ วัดนี้ปัจจุบันเป็นพระอารามหลวงชั้นโท จะขอกล่าวถึงโดยละเอียดในบทต่อไป
ทางด้านศิลปะและวัฒนธรรมของชาวเมืองนนทบุรีนั้น ศิลปะที่นับว่าเด่นน่าจะได้แก่ งานจิตรกรรมฝาผนัง และการก่อสร้างโบสถ์ของวัดเก่าแก่บางวัด ซึ่งตอนหนึ่งจากบทความการวิจัยงานศิลปโบราณของไทย ศาสตราจารย์ศิลป พีระศรี ได้กล่าวว่า   “........วัดลางวัด เช่น วัดปราสาท และวัดชมภูเวก นั้น มีงานจิตรกรรมฝาผนังสร้างขึ้นในพุทธศตวรรษที่ 23 และ 24 ผลจากการสำรวจ ท้องถิ่นต่อมา เราจึงตระหนักถึงความสำคัญของงานจิตรกรรมของท้องถิ่นเหล่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ งานจิตรกรรมของวัดปราสาท ซึ่งยังมีสภาพดีกว่าแห่งอื่น และแสดงให้เห็นถึงลักษณะพิเศษของสกุลช่างนนทบุรีอย่างแจ้งชัด
พระอุโบสถของวัดปราสาทสร้างขึ้นในตอนต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๔ บริเวณผนังภายในมีภาพเขียนบรรยายถึงเรื่องชาดกตกแต่งอยู่ทั่วไปอย่างงดงาม โครงการสีของภาพเขียนเป็นสีแดงและ สีขาว ดูเหมือนมีความสัมพันธ์กันใกล้ชิดกับภาพเขียนของวัดใหญ่สุวรรณาราม จังหวัดเพชรบุรี จากภาพเขียนที่วัดปราสาท ทำให้เราเกิดความคิดที่แน่นอนเกี่ยวกับความเป็นลักษณะโดยเฉพาะของสกุลช่างนนทบุรื ซึ่งแตกต่างไปจากภาพเขียนของสกุลช่างรัตนโกสินทร์อย่างไม่สงสัย…….” เล่ากันว่า เป็นวัดที่พระเจ้าอู่ทองทรงสร้างขึ้น ลักษณะทรวดทรงคล้ายกับที่พระอุโบสถวัดเกาะแก้วสุภาราม จังหวัดเพชรบุรี
ศิลปะอีกด้านหนึ่งที่ควรกล่าวถึงคือ ฝีมือการทำเครื่องปั้นดินเผาของชาวบ้านบางตะนาวศรี (ปัจจุบัน ตำบลสวนใหญ่) มีผู้สันนิษฐานว่า นักปั้นหม้อชาวบางตะนาวศรี อาจจะสืบเชื้อสายมาจากชาวบ้านหม้อคลองสระบัว จังหวัดพระนครศรีอยุธยาก็ได้ โดยเมื่อครั้งกรุงแตก ราว พ.. 2310 ชาวบ้านแถบนั้นบางส่วนได้อพยพหนีภัยจากพม่าลงมาทางใต้ มาตั้งภูมิลำเนาอยู่ตามริมฝั่งแม่นํ้าเจ้าพระยา สมทบกับชาวบางตะนาวศรีเดิมที่อพยพมาจากทางตอนใต้ของพม่า เมื่อราว พ.. 2302 แล้วมาประกอบอาชีพการทำเครื่องปั้นดินเผาตามความถนัด ฝีมือการปั้นหม้อดินเผาของชาวบ้านบางตะนาวศรีนับว่าประณีต งดงาม น่าดู น่าใช้ กว่าของท้องถิ่นอื่น จัดเป็นงานศิลปหัตถกรรมที่ขึ้นชื่อของชาวเมืองนนท์เป็นเวลาช้านาน จนในสมัยต่อมา จังหวัดนนทบุรีได้ใช้ภาพหม้อนํ้าลายวิจิตรเป็นสัญลักษณ์ของจังหวัดตราบเท่าทุกวันนี้
สมัยรัชกาลที่ 5 - รัชกาลที่ 5 (.. 2411 - .. 2489)
รัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พ.. 2411 - .. 2453
รัชกาลที่ 6 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พ.. 2453 - .. 2468
รัชกาลที่ 7 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พ.. 2468 - .. 2477
รัชกาลที่ 8 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล พ.. 2477 - .. 2489
ในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้ทรงปรับปรุงระเบียบการปกครองประเทศใหม่ กล่าวคือการบริหารราชการแผ่นดินส่วนกลาง ทรงตั้งเป็นกระทรวงต่าง ๆ อย่างรูปแบบปัจจุบัน ส่วนการปกครองส่วน ภูมิภาค พระองค์รวมเมืองต่างๆ เข้าเป็นกลุ่ม เรียกว่ามณฑลซึ่งก็ปรากฏว่าเมืองนนทบุรีขึ้นอยู่กับมณฑลกรุงเทพ ในสมัยนี้ได้ย้ายศาลากลางจังหวัดจากฝั่งขวา ของแม่นํ้าเจ้าพระยามาตั้งที่ฝั่งซ้าย ด้านใต้ปากคลองบางซื่อ ซึ่งเป็นท่าเรือตลาดขวัญจนถึง สมัยรัชกาลที่ 7 จึงย้ายศาลากลางจังหวัดอีก
เมื่อพุทธศักราช 2447 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาสเมืองต่าง ๆ ในลักษณะการประพาสต้นพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ทรงนิพนธ์ไว้เป็นจดหมายเหตุ ทรงทำเป็นสำนวนของนายทรงอานุภาพ เขียนจดหมายถึงนายประดิษฐ์ ซึ่งเป็นเพื่อน เล่าเรื่องการประพาสต้นให้เพื่อนฟัง จากจดหมายฉบับที่ 2 ในหนังสือจดหมายเหตุเรื่องประพาสต้น ในรัชกาลที่ 5 ” กล่าวถึงเมืองนนทบุรีไว้ดังนี “………เสด็จออกจากบางปะอิน เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม ร.ศ. 123 ล่องมาตามลำแม่นํ้า เรือฉันมาล่วงหน้า ทราบว่าเสด็จประทับวัดปรมัยยิกาวาส ครู่หนึ่ง แล้วเลยประพาสสวนสะท้อนของ นายบุตรที่แม่นํ้าอ้อม แขวงเมืองนนทบุรี ว่ามีสะท้อนอย่างดี ๆ ที่สวนนั้นมากกำลังสะท้อนออกผล เจ้าของสวนเชิญเสด็จเก็บสะท้อน ทราบว่าเป็นที่พอพระราชหฤทัย แลทรงพระกรุณาแก่เจ้าของสวนมาก เวลาเย็นเสด็จมาประทับแรมที่หน้าวัดเขมา จอดเรือพระที่นั่งเข้ากับสะพานหน้าวัดอย่างเราไปเที่ยวกัน ใช้ศาลานํ้าหน้าวัดเป็นท้องพระโรง ไม่มีพลับพลาฝาเลื่อนอย่างใด เจ้าพนักงานเจ้าของท้องที่ ก็ดูเหมือนจะไม่รู้ตัวว่า จะเสด็จมาประทับแรมที่นั้น การล้อมวงกงกำจัดกันตามแต่จะทำได้ ดูก็สนุกดี จนเวลา 2 ทุ่มเศษ กรมหลวงนเรศร์ เสนาบดีกระทรวงนครบาล จึงเสด็จไปถึง ได้ยินรับสั่งว่า อาสน์แข็ง ๆ กันไม่รู้ พอรู้ก็รีบมาจะต้องนั่งอยู่ยังรุ่ง……..”
ในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้ทรงสร้างพระอารามหลวงเพิ่มขึ้นมาอีกวัดหนึ่ง คือ วัดปากอ่าวเป็นวัดไทยรามัญ ตั้งอยู่ตำบลเกาะเกร็ด อำเภอปากเกร็ด วัดนี้เป็นวัดเก่าแก่ สร้างมาแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่ ทั้งพระอารามเพื่ออุทิศถวายแด่พระเจ้าบรมมหัยยิกาเธอ กรมสมเด็จพระสุดารัตนราชประยูร แล้วพระราชทานนามใหม่ว่า วัดปรมัยยิกาวาส
ในสมัยรัชกาลที่ 6 ตลอดจนถึงสมัยรัชกาลที่ 6 เมืองนนทบุรีได้พัฒนาขึ้นมาอย่างช้าๆ สภาพโดยส่วนรวมจะเป็นเช่นไรนั้น ใคร่จะขอคัดหนังสือของพระกรุงศรีบริรักษ์ ผู้ว่าราชการเมืองนนทบุรีในสมัยรัชกาลที่ 6 (พ.ศ. 2458) มีไปถึงพระมหาอำมาตย์เอก เจ้าพระยายมราชเสนาบดีกระทรวงนครบาลในสมัยนั้น ตามคำขอร้องที่ว่าต้องการให้เป็นประโยชน์แก่นักเรียนโรงเรียนข้าราชการพลเรือน ความมีดังนี้
ภูมิศาสตร์เฉพาะเมืองนนทบุรี
1. ว่าด้วยภูมิประเทศ
เมืองนนทบุรีตั้งศาลากลางเมืองอยู่ที่ฝั่งตะวันออกของแม่นํ้าเจ้าพระยา ตรงปากคลองแม่นํ้าอ้อมข้ามใต้หมู่บ้านตลาดขวัญ ใต้เมืองเดิมประมาณ 10 เส้น
เมืองนนทบุรีแต่เดิมเป็นดินแดนระหว่างเมืองธนบุรี (กรุงเทพ) แลเมืองสามโคก (เมืองปทุมธานี) เหตุที่จะตั้งเมืองนนทบุรีขึ้น ปรากฏตามพระราชพงศาวดารดังนี้ คือ
เมื่อจุลศักราช 905 ปี พ.ศ. 2186 แผ่นดินสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ มีศึกพม่ามาติด พระนคร เมื่อพม่าข้าศึกยกรี้พลกลับไปแล้ว สมเด็จพระมหาจักรพรรดิราชาธิราชได้ตรัสว่า ไพร่บ้านพลเมืองตรีจัตวาปักษ์ใต้เข้าพระนครครั้งนี้น้อยนัก หนีอยู่ป่าดงห้วยเขาต้อนไม่ได้เป็นอันมาก ให้เอาบ้านท่าจีนตั้งเป็นเมืองสมุทรสาคร ให้เอาบ้านตลาดขวัญตั้งเป็นเมืองนนทบุรีแบ่งเอาแขวงเมืองราชบุรี เมืองสุพรรณบุรี ตั้งเป็นเมืองนครไชยศรี มีข้อความตามพระราชพงศาวดาร ดังนี้
อาณาเขตเมืองนนทบุรีแต่เดิมมา ด้านตะวันออกและด้านใต้ ติดต่อกับกรุงเทพด้านตะวันตกติดต่อกับนครปฐม ด้านทิศเหนือติดต่อกับเมืองปทุมธานี แต่อาณาเขตในเวลานี้ด้านตะวันตกแลด้านเหนือเปลี่ยนรูปจากอาณาเขตเดิมด้วยเหตุผล เมืองที่ขึ้นอยู่ในเมืองนนท์ได้ทำนารุกที่ป่าทุ่ง ฝั่งตะวันตกออกไปจนแดนกระทุ่มหลักไชย แลกระทุ่มช้างสี พ้นป่ากระทุ่มมืดออกไปโอบเมืองปทุมไปทางทิิศเหนือ นับว่าอาณาเขตได้รุกเข้าไปในแดนของเมืองนครปฐม เมืองปทุม แลกรุงเก่าอาณาเขตที่เปลี่ยนแปลงใหม่ จึงคงเป็นดังนี้ คือ
ด้านตะวันออกและด้านใต้ ติดต่อกับกรุงเทพ พรมแดนกันที่คลองเปรมประชากรคนละ ฝั่งคลองเปรม จับตั้งแต่สถานีหลักหกจนถึงสถานีบางเขนตอนหนึ่ง ด้านใต้จับตั้งแต่สถานีบางเขนตรงไปตามลำคลองบางเขน ออกปากคลองล่องลงไปข้ามฟากเข้าคลองวัดละมุดไปออกคลองวัดพิกุล เข้าคลองสวนแดนไปประจบทางรถไฟสายเพชรที่สุดเพียงคลองวัฒนา ไปเข้าคลองนราภิรมย์ กินขึ้นไปบนทุ่งวัดเทพเฉลิม วกไปตามคลองเจ้า คลองขุนศรี ไปออกลำลาดสวายตัดตรงไปกระทุ่มหลักไชย ด้านเหนือพรมแดนกับกรุงเก่า ตั้งแต่ปลายคลอง 2 หม่อมแช่ม ตัดตรงตามทุ่งนาตามคลอง 1 แลคลองขุนศรี เป็นหมดเขตกรุงเก่าเข้าเขตปทุม โอบเมืองปทุมตามทุ่งนา ตามลำกลํ่า ตัดตรงมาวัดกระโจม มาคลองบางตะไนย ออกปากคลองคนละฝั่งแม่นํ้าเจ้าพระยามาปั่นกันที่คลองบ้านใหม่ตลาดเนื้อ ใต้วัดเทียนถวาย ตามลำคลองมาตกคลองเปรมประชากร เขตแดนใหม่เป็นดังที่กล่าวมานี้
เมืองนนทบุรีแบ่งเป็น 4 อำเภอ 49 ตำบล 775 หมู่บ้าน
อำเภอตลาดขวัญ ตั้งอยู่ที่ใต้บ้านตลาดขวัญ ฝั่งตะวันออกของแม่นํ้าเจ้าพระยา มีตำบล 15 ตำบล 267 หมู่บ้าน
อำเภอบางบัวทอง ตั้งที่ว่าการอำเภอที่ปากคลองพระราชาภิมณฑ์ มีตำบล 14 ตำบล หมู่บ้าน 223 หมู่บ้าน
อำเภอบางใหญ่ ตั้งที่ว่าการอำเภอวัดชลอ ปากคลองบางกรวยมีตำบล 10 ตำบล หมู่บ้าน 217 หมู่บ้าน
อำเภอปากเกร็ด ตั้งที่ว่าการอำเภอวัดสนามไชย มีตำบล 10 ตำบล หมู่บ้าน 168 หมู่บ้าน
           ขตแดนติดต่อระหว่างอำเภอตลาดขวัญ พรมแดนกับอำเภอปากเกร็ด ที่คลองบางตลาด พรมแดนกับอำเภอบางบัวทองที่คลองบางรักใหญ่ พรมแดนกับอำเภอบางใหญ่คนละฝั่งคลองอ้อมมาออกคลองบางกรวย
อำเภอปากเกร็ด พรมแดนกับอำเภอบางบัวทอง ที่คลองลำโพ
อำเภอบางบัวทอง พรมแดนกับอำเภอบางใหญ่ ที่คลองบางใหญ่
แม่นํ้าลำคลองในเมืองนนทบุรี เป็นแม่นํ้าสำคัญเกี่ยวด้วยการไปมาค้าขายแลการเดินเรือแพ แม่นํ้าบางตอนเป็นแม่นํ้าที่ขุดขึ้นเป็นทางลัด แต่โดยเหตุที่สายนํ้าเดินตรง นํ้าจึงแรงกัดเอาเป็น แม่นํ้าเหมือนกับแม่นํ้าที่ไม่ได้ขุด แม่นํ้าเจ้าพระยาเดิมนั้นคือลำแม่นํ้าอ้อมที่เรียกกันว่า คลองอ้อมตรงหน้าเมืองนนท์เดี๋ยวนี้ไปออกคลองบางกรวยเหนือวัดลุ่ม ส่วนแม่นํ้าตั้งแต่คลองอ้อมตรงไปวัดเขมานั้นเป็นทางลัด ได้ขุดขึ้นเมื่อจุลศักราช 988 ปี พ.. 2169 แผ่นดินสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวปราสาททอง แม่นํ้าตอนตั้งแต่วัดชลอไปวัดขี้เหล็กนั้น ได้ขุดเมื่อจุลศักราช 900 พ.. 2081 แผ่นดินสมเด็จพระมหาจักรพรรดคลองลัดเกร็ดนั้นขุดเมื่อจุลศักราช 1048 แผ่นดินพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ ปรากฏตาม พระราชพงศาวดารว่า ขุดกว้าง 6 วา ลึก 6 ศอก ยาว 29 เส้น พระชลบุรี ผู้ว่าราชการเมืองชล เป็นแม่กองขุด ขุดอยู่ปีเศษจึงสำเร็จ
ลำคลองอ้อมหรือแม่นํ้าอ้อม มีคลองสำคัญ ๆ ที่เป็นทางเชื่อมการไปมาค้าขายหลายคลอง แต่คลองเหล่านี้จะใช้ได้เฉพาะฤดูหน้านํ้า คลองที่นับว่าเป็นทางเชื่อมแม่นํ้าลำคลองอื่น คือ
คลองบางรักใหญ่ ปากคลองอยู่ที่ลำคลองอ้อม อยู่ทิศตะวันตกของบ้านบางพลูห่างบ้าน บางพลูประมาณ 30 เส้น คลองนี้ลัดไปออกคลองบางบัวทอง ใกล้กว่าที่จะไปทางแม่นํ้า ประมาณ 200 เส้น
คลองบางใหญ่ ปากคลองอยู่ที่ลำแม่นํ้าอ้อม ใกล้วัดค้างคาว เป็นคลองตรงไปออกคลอง นราภิรมย์ และถ้าจะไม่ไปทางคลองนราภิรมย์ ไปออกแม่นํ้าสุพรรณที่ตรงวัดลานตากฟ้าเหนือคลองกระทุ่มเมืองก็ได้
คลองบางคูเวียง ปากคลองอยู่ที่ลำแม่นํ้าอ้อม ใกล้วัดยุคันธร์ คลองนี้ไปออกคลอง มหาสวัสดิ์ใต้สถานีธรรมสพน์ก็ได้ ไปออกคลองวัดไผ่ ไปออกวัดบ้านช่างเหล็ก คลองบางกอกใหญ่ ก็ได้ แต่การที่จะไปทางนี้ระยะทางพอกันกับที่จะเดินทางแม่นํ้าใหญ่ ส่วนไปทางคลองนราภิรมย์ไปออกสถานีศาลาธรรมสพน์นั้นย่นระยะทางได้กว่า 250 เส้น
คลองบางราวนก ปากคลองอยู่ที่ลำแม่นํ้าอ้อม ใต้ปากคลองบางคูเวียงสัก 30 วา คลอง บางราวนกนี้ไปออกคลองวัดไผ่ที่วัดใหม่ หรือจะมาออกทางคลองขื่อขวางวัดไชยพฤกษ์ก็ได้
คลองบางสีทอง ปากคลองอยู่ตรงหน้าที่ว่าการอำเภอบางใหญ่ข้าม เป็นคลองลัดมาออก ลำแม่นํ้าใหญ่ ตรงหน้าโรงเรียนราชวิทยาลัยบางขวางข้าม
คลองบางกรวย ปากคลองอยู่ที่หน้าที่ว่าการอำเภอบางใหญ่ ตรงวัดชลอมาออกแม่นํ้าใหญ่ตรงหน้าวัดเขมาข้าม (แม่นํ้าเจ้าพระยาเดิม)
คลองบางแพรก บางตะนาวศรี บางขุนเทียน เป็นคลองปลายตันตามทุ่งนาแต่เป็นคลอง ที่มีบ้านเรือนราษฏรมาก แลสองฝั่งคลองเป็นสวน เป็นคลองที่น่าเที่ยวในเวลาฤดูนํ้า
คลองบางตลาด ปากคลองอยู่ที่วัดเชิงท่า ฝั่งตะวันออกแม่นํ้าเจ้าพระยา คลองนี้เมื่อยัง ไม่ทำประปา เป็นทางลัดไปออกคลองเปรมประชากรก็ได้ ในเวลานี้ไปสุดแค่คลองผ่านประปา
คลองบางบัวทอง ปากคลองอยู่ที่เหนือโรงอิฐหลวงอ้อมเกร็ด อยู่ฝั่งตะวันตกของแม่นํ้าเจ้าพระยา ตอนปากคลองทางคดเคี้ยวมาก แต่เมื่อพ้นปากคลองเข้าไปทางลึก 50 เส้นตรงคลองนี้ ไปประจบกับคลองราชาภิรมณฑ์ส่วนตัวลำคลองไปที่สุดเพียงบ้านละหารประจบคลองลำโพ
คลองพระราชาภิมณฑ์ ปากคลองอยู่เหนือวัดราษฎร์บรรหาร ฝั่งตะวันตกของลำคลอง บางบัวทองไปออกลำลาดสวาย คลองบางภาษี ที่วัดบางภาษี แม่นํ้าสุพรรณ เป็นทางชาวเมืองนนท์ ไปตัดฟืนเมืองสุพรรณทางนี้
คลองบางเขน ปากคลองอยู่ฝั่งตะวันออกของแม่นํ้าเจ้าพระยาใต้บ้านตลาดแก้วคลองนี้ ไปออกคลองเปรมประชากรตรงสถานีบางเขนก็ได้ ไปออกคลองวังหิน คลองลาดพร้าวไปเมืองนครเขื่อนขันธ์ ไปออกคลองแสนแสบ ลัดที่ตรงคลองพลับพลาไปเมืองมีนบุรีก็ไดคลองมหาสวัสดิ์ ปากคลองอยู่ที่วัดไชยพฤกษ์ ตรงไปแม่นํ้านครไชยศรี ออกตรงใต้บ้าน งิ้วราย หรือจะไปออกคลองนราภิรมย์ คลองทวีวัฒนาก็ได้เป็นคลองที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้ขุดขึ้นเพื่อไปนมัสการพระปฐมเจดีย์แต่ยังมิได้เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ เพราะทางรถไฟสายใต้ยังไม่มี
เมืองนนทบุรีมีที่ดินทั้งสวนแลนา ที่สวนมีอยู่ในอำเภอตลาดขวัญแลอำเภอบางใหญ่โดยมาก ส่วนอำเภอบางบัวทองแลอำเภอปากเกร็ดนั้น มีที่นามากกว่าที่สวน สวนมีทุเรียนแลส้มเขียวหวานเป็นไม้ยืน นอกจากนี้มีไม้อื่นๆ เป็นไม้แซม แลมีผลไม้อีกชนิดหนึ่งเป็นของมีชื่อสำหรับเมืองนนท์ คือ สะท้อนห่อคลองอ้อม สะท้อนนี้มีตามแถวปากคลองอ้อมฝั่งเหนือ เวลานี้เจ้าของสวนสะท้อนไม่สู้จะนิยม เห็นว่าประโยชน์สู้ส้มเขียวหวานไม่ได้ ได้พากันโค่นสะท้อนปลูกส้มเขียวหวานแทนชุกชุม ต่อไปสะท้อนมีชื่อเสียงจะแพงขึ้น
นาในเมืองนนทบุรี แต่เดิมทางฝั่งตะวันออกแม่นํ้าเจ้าพระยาเป็นนาปักโดยมาก แต่เวลานี้เจ้าของนาได้เปลี่ยนเป็นวิธีนาหว่าน ด้วยเหตุฝนไม่ให้ช่อง
2. การปกครองแลการภาษีอากร
เมืองนนทบุรีเป็นเมืองขึ้นในมณฑลกรุงเทพ มีศาลากลาง โรงศาล หอทะเบียนที่ดินได้เริ่มจัดการปกครองตามพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ มีกำนัน พันทนายบ้านเป็นระเบียบ แบบแผน แลได้จัดการเปลี่ยนแปลงระเบียบอย่างดีเป็นลำดับมาโดยรวดเร็วในเวลานี้นับว่าได้จัดการเข้ารูปเรียบร้อยดียิ่ง
การโจรผู้ร้ายนอกจากอาศัยอำเภอ กำนัน เป็นผู้ปราบปราม ยังได้จัดการพลตระเวนขยายออกไปในถิ่นสำคัญๆ เป็นกำลังของผู้ปกครองท้องถิ่น
การภาษีอากร แยกวิธีการออกเป็น 2 อย่าง ฝ่ายบ้านเมืองจัดการอย่างมีระเบียบชั้นนอก มีสมุห์บัญชีเป็นผู้เก็บเงิน รวมอยู่ในกรมการอำเภอ มีค่านา ค่านํ้า อากรสวนแลอื่นๆ ส่วนภาษีผ่านด่าน กรมศุลกากรตั้งด่านครองเก็บ ด่านใหญ่ตั้งเจ้าพนักงานมีเงินเดือนด่านย่อยให้สิบลด ด่านเวลานี้มีอยู่คือ 1. ด่านใหญ่ปากคลองอ้อม 2. ด่านบางเขน 3. ด่านย่อยปากคลอง มหาสวัสดิ์ 4. ด่านย่อยปากคลองบางใหญ่ 5. ด่านย่อยคลองบ้านแหลม 6. ด่านย่อยคลอง บางบัวทอง 7. ด่านย่อยปากคลองเกร็ด 8. ด่านย่อยบางพูด 9. ด่านย่อยปากคลองบางสีทอง
ด่านเหล่านี้ได้เงินทางภาษีนํ้าตาลโตนด และนายด่านบางคนได้รับอำนาจจากกรมศุลกากรให้เป็นผู้จัดการสุรารัฐบาลด้วย
ภาษีฝิ่น มีเจ้าพนักงานต่างหากจากสุรา แบ่งผู้จัดการออกเป็น 2 แขวงตอนปากเกร็ด แลบางบัวทองแขวงหนึ่ง ตอนบางใหญ่ตลาดขวัญแขวงหนึ่ง
ทะเบียนเรือเป็นเจ้าพนักงานฝ่ายหนึ่งของกรมเจ้าท่า ทำการโดยเฉพาะ ตั้งที่ทำการที่เมือง การตรวจตราจับกุมอาศัยกำลังเจ้าพนักงานฝ่ายบ้านเมือง การอื่น ๆ อยู่ในความรับผิดชอบของหัวหน้าแผนก
หวย มีผู้รับผูกขาดมาจากนายอากร รับกินเองใช้เอง รวมทั้งเมืองนนท์มี 3 แขวง แบ่งอาณาเขตแขวงไม่ถูกกับอาณาเขตการปกครอง แบ่งตามสะดวกของการหวย หมู่บ้านที่มีชื่อเสียงในการส่งเงินหวยให้เจ๊กมากที่สุดคือ หมู่บ้านบางตะนาวศรี เจ๊กว่าปีหนึ่งไม่น้อยกว่าหมื่นบาท หวยที่นี่แปลกกว่ากรุงเทพ ใช้เพียง 28 ต่อต้นทุน
สุราโรงทำนองเป็นผู้ผูกขาด การแบ่งแขวงก็แบ่งตามความสะดวกในการสุรา การตรวจตราจับกุมส่วนเหล้าเถื่อน นํ้าตาลเมา เป็นธุระของฝ่ายบ้านเมือง การตรวจตราโรงร้านเป็นธุระของเจ้าพนักงานโรงสุราที่จัดกันมาต่างหาก
3. ว่าด้วยการสามโนครัว
เมืองนนทบุรีมีจำนวนพลเมืองที่ได้สำรวจอย่างแน่นอน 72,407 คน พลเมืองโดยมากเป็นมอญและแขก ไทยมีมากกว่ามอญ มอญมากกว่าแขก แขกน้อยกว่าไทย มอญได้ตั้งถิ่นฐานอยู่แถบตั้งแต่คลองบางตลาดไปจนสุดเขตแดนของเมืองนี้พวกหนึ่ง อยู่ในแถวคลองขุนศรี คลองญี่ปุ่น อำเภอบางบัวทองพวกหนึ่ง มอญพวกนี้ปรากฏตามพระราชพงศาวดารว่าเป็นพวกที่อพยพเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร มา 2 คราว คราวที่ 1 เมื่อจุลศักราช 1136 คราวที่ 2 เมื่อจุลศักราช 1177 ในคราวนี้ มาถึง 30,000 เศษ รัฐบาลได้จัดให้อยู่ที่เมืองนนทบุรีบ้าง เมืองนครเขื่อนขันธ์บ้าง เมืองปทุมธานีบ้าง
ส่วนแขกนั้นได้แยกย้ายกันอยู่หลายแห่ง ที่บ้านตลาดขวัญพวกหนึ่ง ตลาดแก้วพวกหนึ่ง คลองบางตลาดพวกหนึ่ง บ้านท่าอิฐพวกหนึ่ง แขกละหารพวกหนึ่ง แขกบ้านละหาร เป็นแขกบ้านท่าอิฐ บางตลาด ตลาดแก้ว ยกออกไป แขกเหล่านี้เข้าใจว่าได้มาอยู่ก่อนพวกมอญ แต่ไม่ปรากฏหลักฐาน
4. ว่าด้วยการศาสนาแลการเล่าเรียน
ทางฝ่ายพุทธศาสนานับว่าเจริญ พระสงฆ์องค์เจ้าปฏิบัติกิจการในศาสนาอย่างเคร่งครัดดีฝ่ายศาสนาอิสลามต่างหมู่บ้านก็ต่างมีโบสถ์ เป็นที่กระทำพิธีกรรมตามศาสนา โบสถ์ได้ทำเป็นตึกอย่างถาวรถึง 3 แห่ง คือ ตลาดแก้ว ตลาดขวัญ ท่าอิฐ พวกแขกบ้านอื่นๆ นอกจากบ้านตลาดขวัญปรองดองกันในทางศาสนาเรียบร้อย ส่วนหมู่บ้านตลาดขวัญไม่สู้ปรองดองกันต้นเหตุเกิดจากเรื่องถือ 10 ถือ 20
การเล่าเรียนนั้นในเมืองนนทบุรีมีโรงเรียนราชวิทยาลัยเป็นโรงเรียนที่สำคัญ โรงเรียนนี้จัดดีทั้งการปกครองแลการสอน ฝรั่งบางคนที่ได้มาเห็นการสอนของโรงเรียนสรรเสริญว่าจัดดีกว่าโรงเรียนเมืองนอกที่เทียบชั้นเดียวกัน ส่วนโรงเรียนของกรมศึกษาธิการ มีโรงเรียนตัวอย่างประจำเมือง ตั้งอยู่ที่วัดท้ายเมือง นอกจากโรงเรียนตัวอย่างได้จัดให้มีโรงรียนประจำอำเภอ นอกจากโรงเรียนประจำอำเภอยังได้มีโรงเรียนตามหมู่บ้านใหญ่ ๆ การเกี่ยวข้องกับโรงเรียนนั้นได้อาศัยพระเป็นกำลังสำคัญ เจ้าอธิการบางวัดได้พยายามจัดสร้างโรงเรียนอย่างมั่นคงขึ้นหลายแห่งการศึกษาเฉพาะในเมืองนี้นับว่าได้รับอุปการะจากวัดมาก
5. ว่าด้วยโรงงาน การกสิกรรม พานิชการแลการหัตถกรรม
การหัตถกรรมซึ่งเป็นของพื้นเมือง มีการทำเครื่องปั้นดินเผาอย่างหนึ่ง การจักสานอย่างหนึ่ง เครื่องปั้นดินเผานั้นชาวบ้านแถวปากคลองอ้อมทำหม้อตาล ชาวบ้านแถวเกาะเกร็ด ปั้นโอ่งอ่างกระถางต้นไม้ เครื่องปั้นดินเผานี้เป็นของพื้นเมืองมีมานาน ทำได้อย่างดี ไม่มีที่อื่นสู้ดินที่ใช้ทำเครื่องปั้นดินเผา ใช้ดินท้องนาที่ในบริเวณเกาะศาลากุนแลบ้านแหลมใหญ่ วิธีนั้นซื้อนากันเป็นแปลง ๆ แล้วขุดเอาดินที่นานั้นมาใช้ นอกจากดินในที่ 2 แห่งนี้ใช้ไม่ได้หรือจะใช้ก็ไม่ดี
ส่วนการจักสาน มีทำงอบและเข่งปลาทู พวกทำงอบอยู่แถวคลองบางกรวยแลบางราวนก บางคูเวียง พวกทำเข่งปลาทูอยู่แถวตั้งแต่บางแพรกไปจนคลองบางตลาด
โรงงานที่มีในเมืองนนท์ มีโรงอิฐหลวง ตั้งอยู่ที่ป้อมเกร็ดใต้ปากคลองบางบัวทองฝั่งตะวันตกของแม่นํ้าเจ้าพระยา โรงอิฐนี้เป็นของพระคลังข้างที่ ทำอิฐอย่างฝรั่งได้ผลดี โรงสีตั้งอยู่ใกล้ ๆ กับ โรงทำอิฐ ทำการสีข้าวของตนเองแลรับจ้างสีข้าวราษฎร ได้ประโยชน์ดีเหมือนกันโรงหีบนั้นมีโรงหีบเครื่องจักรโรงหนึ่ง ตั้งอยู่ที่ปากคลองบางใหญ่ แลโรงที่ใช้แรงกระบือ ตั้งอยู่ตามระยะคลองอ้อมถึง 3 โรง เป็นโรงสำหรับรับจ้างหีบอ้อยของราษฎร
6. เรือไฟ รถไฟ
เมืองนนทบุรีมีรถไฟสายหนึ่งเดินตั้งแต่วัดสิงขรผ่านตามสวนมาข้ามที่คลองบางกรวยตัด ไปบางใหญ่ ทางหนึ่งแยกมาเมืองนนท์ตรงบ้านตึก เยื้องศาลากลางข้ามทางหนึ่ง ทางที่ตัดไปบางใหญ่นั้นเจ้าของได้ตั้งใจจะทำไปอำเภอบางบัวทอง ที่สุดบ้านเจ้าเจ็ด อำเภอเสนา กลางกรุงเก่าแต่ตอนนี้ยังไม่สำเร็จ ตอนที่ไปบางใหญ่กับเมืองนนท์จะได้ประโยชน์เฉพาะรับคนโดยสาร คงจะไม่ได้ประโยชน์ในทางบรรทุกสินค้า แต่ตอนบ้านเจ้าเจ็ดมาบางบัวทองนั้นเข้าใจว่าจะได้ประโยชน์ ในทางบรรทุกข้าวมาก (รถไฟสายนี้เรียกว่ารถไฟสายวรพงษ์ ไปจอดที่ตลาดหลุมแก้ว จังหวัดปทุมธานี ของเจ้าพระยาวรรพงษ์)
เรือที่รับส่งคนโดยสารนั้น มีเรือยนต์ของบริษัทแม่นํ้ามอเตอร์โบ๊ต เดินระหว่างปากคลองบางใหญ่ไปออกคลองบางกอกน้อย รับส่งคนขึ้นลงที่ท่าข้างวังหลวงสายหนึ่ง เดินระหว่างปากคลองบางใหญ่มาส่งตลาดเมืองนนท์ แต่เดินเฉพาะฤดูที่นํ้าเดินได้สายหนึ่ง เดินระหว่างเมืองปทุมแลปากเกร็ดไปส่งที่ท่าบางกระบืออีกสายหนึ่ง
นอกจากเรือประจำมีเรือผ่านที่ไปกรุงเก่า อ่างทอง บ้านผักไห่ อีกพวกหนึ่งแลนอกจากเรือรับส่งคนโดยสารมีเรือโยงลากเรือไปส่งกรุงเก่าและแควเหนืออีกพวกหนึ่ง
7. ตลาดค้าขาย
ตลาดค้าขายมีตลาดใหญ่ที่อำเภอปากเกร็ด เป็นตลาดแพจอดเรียงเป็นตับ ตั้งแต่หน้าวัดสนามไชยไปจนเลยวัดบ่อ ตลาดนี้เป็นตลาดสำคัญของเมืองนี้ ทำการติดต่อกับพวกตลาดย่อย แลแม่ค้าเร่ แถบเมืองปทุม บางบัวทอง บ้านแหลมใหญ่ บ้านใหม่ตลาดเนื้อ
ที่ปากคลองบางราวนก บางคูเวียง มีตลาดแพอีกตลาดหนึ่ง ทำการติดต่อกับพวกคลอง บางใหญ่ บางราวนก บางคูเวียง ไปจนคลองนราภิรมย์ นอกจากสองตลาดนี้ไม่มีตลาดที่เป็นแก่นสาร ส่วนตลาดขายของสวนนั้นมีอยู่ 4 แห่ง 1.ปากคลองบางเขน ของสวนที่ออกจากคลองบางเขน บางตะนาวศรี บางแพรก แลบางอื่นๆ ไปรวมขายที่นั่น 2. ปากคลองบางกรวยตรงวัดชลอของสวนในแถวบางขนุน บางขุนกอง บางศรีเมือง บางศรีทอง บางกรวย มารวมขายที่นั่น 3. ปากคลองบางราวนกบางคูเวียง ของสวนในคลองบางราวนก บางคูเวียง มารวมขายที่นั่น 4. ปากคลองบางใหญ่ ของสวนในคลองบางใหญ่ บางเลน บางรักน้อย บางรักใหญ่ไปขายที่นั่น ตลาดสวนติดเวลาเช้าเวลาเดียวสายหน่อยเลิกหมด
8. การทามาหากิน
ชาวเมืองนนท์ทำสวนแลทำนาเป็นพื้น การหัตถกรรมมีเครื่องปั้นดินเผาและการจักสานเป็นงานที่สำหรับทำในเวลาว่าง ชาวเมืองนนท์น่าชมที่ไม่ปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปในใช่เหตุ ว่างนั่นทำนี่ เป็นพลเมืองขยันต่อการงานจริงๆ แลนอกจากการทำนา ทำสวนเครื่องปั้นดินเผา ยังมีพวกที่ทำนํ้าตาลโตนดอีกพวกหนึ่ง นํ้าตาลโตนดกรอกเป็นหม้อเป็นคะนนเป็นสินค้าซึ่งออกจากเมืองนนท์ปีละมากๆ
9. นิสัยความประพฤติพลเมือง
นิสัยชาวเมืองนนท์ใจกว้าง การตีรันฟันแทงนับว่าเป็นมือขวา การพนันไม่สู้จะชอบเป็น นักเลงยาฝิ่นน้อย เป็นคนหมั่นต่อกิจการงาน
10. ผลประโยชน์รายได้
เมืองนี้ประโยชน์รายได้รวมทุกประเภทราว 500,000 บาท ได้จากค่าอากรค่านาแลอากรสวนใหญ่ มากกว่าอย่างอื่น
11. ที่เที่ยว
ที่เที่ยวมี 2 ประเภท เที่ยวหาอากาศสบายที่วัดเขมาแห่งหนึ่ง วัดเสาธงทองแห่งหนึ่งวัดเขมาอยู่ตรงปากคลองบางกรวยข้าม วัดเสาธงทองอยู่ตรงอ้อมเกร็ดเยื้องปากคลองบ้านแหลมใหญ่ข้าม เที่ยวเพื่อเย็นตาสบายใจแลดูฐานเดิมแห่งลำแม่นํ้าเก่าต้องเที่ยวในคลองอ้อมออกคลองบางกอกน้อย
12. โบราณคดี
เมืองนี้ครั้งกรุงเก่า เป็นเมืองห่างจากพระนครหลวง แลเป็นเมืองจัตวาปักษ์ใต้ไม่สู้จะมี เหตุการณ์แลถาวรวัตถุเกี่ยวเนื่องโบราณคดี มีบ้างก็เป็นเรื่องขุดแม่นํ้าลำคลองดังที่ว่ามาในตอนต้น นั้น นอกจากเรื่องขุดแม่นํ้าลำคลองมีเรื่องเกี่ยวกับวัดเขมาอยู่ตอนหนึ่ง คือ เมื่อจุลศักราช 1127 ปี พ.. 2308 ในครั้งนั้นมีศึกพม่ามาติดพระนคร มีความตามพระราชพงศาวดารดังนี้
ฝ่ายกองทัพหน้าพม่าข้างทางใต้ ซึ่งตั้งค่ายอยู่ ณ ตอกระออมนั้น ถึง ณ เดือนสิบ ปีระกาสัปตศก เมฆราโบ จึงยกทัพเรือพลพันเศษลงมาตีค่ายทัพไทย ซึ่งตั้งอยู่ตำบลบำหรุนั้นแตกแล้วก็ยกลงมาตีทัพเรือพวกไทยตำบลบางกุ้งก็แตกฉานพ่ายหนี จึงยกล่วงหน้าเข้ามาถึงเมืองธนบุรี พระยารัตนา ธเบศมิได้สู้รบหนีกลับขึ้นไปกรุงเทพมหานคร กองทัพเมืองนครราชสีมา ก็เลิกไปทางฟากตะวันออก ยกกลับไปเมืองสิ้น พม่าก็ได้เมืองธนบุรี เข้าตั้งอยู่ 3 วันแล้วเลิกทัพกลับไป ณ ค่ายตอกระออมดังเก่า
ในขณะนั้นมีกำปั่นอังกฤษลูกค้าลำหนึ่ง บรรทุกผ้าสุหรัดเข้ามาจำหน่าย ณ กรุงเทพมหานคร โกษาธิบดีให้ล่ามถามแก่นายกำปั่นว่า ถ้าพม่าจะเข้ามารบเอาเมืองธนบุรีอีกนายกำปั่นจะอยู่ช่วยรบหรือจะไปเสีย นายกำปั่นว่าจะอยู่ช่วยรบ แต่ขอให้ถ่ายมัดผ้าขึ้นฝากไว้ให้กำปั่นเบาก่อน ครั้นถ่ายมัดผ้าขึ้นแล้วก็ถอยกำปั่นล่องลงมาทอดอยู่ ณ ปากคลองบางกอกใหญ่
ครั้น ณ เดือนยี่ เมฆราโบ ก็ยกทัพเรือเข้ามาเมืองธนบุรีอีก ไม่มีใครอยู่รักษาเมืองแลสู้รบ พม่าเอาปืนใหญ่ขึ้นตั้งบนป้อมวิไชยเยนทร์ฟากตะวันตก ยิงโต้ตอบกับปืนกำปั่นจนเวลาคํ่า กำปั่น
จึงถอนสมอลอยขึ้นไปตามนํ้า ขึ้นไปทอดอยู่เหนือเมืองนนทบุรี แลกองทัพพระยายมราช ซึ่งตั้งอยู่ เมืองนนท์นั้นก็เลิกหนีขึ้นไปเสียมิได้ตั้งอยู่ต่อรบพม่า พม่าเข้าตั้งอยู่ ณ เมืองธนแล้ว จึงแบ่งทัพขึ้นมา ตั้งค่าย ณ วัดเขมาตลาดแก้วทั้งสองฟาก ครั้นเพลากลางคืนนายกำปั่นจึงขอเรือกราบลงมาชักสลุบ ช่วง ล่องลงไปให้มีปากเสียง ครั้นตรงค่ายพม่า ณ วัดเขมา ก็ได้จุดปืนรายแคมพร้อมกันทั้งสองข้าง ยิงค่ายพม่า ทั้งสองฟาก พม่าต้องปืนล้มป่วยลำบากแตกหนีออกหลังค่าย ครั้นเพลาเช้านํ้าขึ้น สลุบช่วงก็ถอนขึ้นมาหากำปั่นใหญ่ ซึ่งทอดอยู่เหนือเมืองนนท์
ฝ่ายทัพพม่าก็ยกเข้าค่ายเมืองนนท์ ครั้นเวลาคํ่าให้ยกสลุบช่วงล่องลงไปอีก จุดปืนชายแคมยิงค่ายเมืองนนท์ พม่าหนีออกไปซุ่มอยู่หลังค่าย อังกฤษแลไทยลงกำปั่นขึ้นไปเก็บของในค่าย พม่ากลับกรูกันเข้ามาข้างหลังค่ายไล่ฟันแทงไทยแลอังกฤษแตกหนีออกจากค่ายลงกำปั่น แลตัดศรีษะล้าต้าอังกฤษได้คนหนึ่ง เอาขึ้นเสียบประจานไว้หน้าค่าย นายกำปั่นจึงบอกแก่ล่ามว่าปืนในกำปั่นกระสุนย่อมกว่าปืนพม่า เสียเปรียบข้าศึกจะขอปืนใหญ่กระสุนสิบนิ้วสิบกระบอกแล้วจะขอเรือรบ พลทหารสิบลำจะลงไปรบพม่าอีก ล่ามกราบเรียนแก่เจ้าพระยาพระคลัง พระยาพระคลังกราบบังคมทูล จึงโปรดให้เอาปืนใหญ่สิบกระบอกลงบรรทุกเรือใหญ่ขึ้นไปกำปั่น แต่เรือสิบลำนั้นหาทันจัดแจงให้ไปไม่ ครั้นเพลาบ่ายอังกฤษล่องเรือกำปั่นแลสลุบช่วงลงไปจนพ้นเมืองธนบุรีแล้ว จึงทอดสมออยู่
ขณะนั้นไทยในกรุงเทพมหานคร ลอบลงเรือน้อยลงมาเก็บผลไม้หมากพลู ณ สวนอังกฤษจับขึ้นไว้บนเรือมากกว่าร้อยคน แล้วก็ใช้ใบหนีไปออกท้องทะเล ครั้นเพลาคํ่าไทยหนีขึ้นมาถึงพระนครได้ 2 คน จึงรู้เนื้อความว่ากำปั่นอังกฤษมิได้อยู่รบพม่า หนีไปแล้วได้แต่มัดผ้า ซึ่งขนขึ้นไว้สี่สิบมัด
นอกจากวัดเขมามีวัดหนึ่งที่เกี่ยวด้วยโบราณคดี คือวัดบางอ้อยช้าง ท้องที่อำเภอบางกรวย วัดนี้ว่ากันว่า เป็นวัดที่ขุนหลวงหาวัดได้เคยจำพรรษาอยู่ จะจริงเท็จฉันใดไม่พบหลักฐาน…..”
(การคัดลอกนี้รักษาอักขระตามต้นฉบับเดิมทุกประการ)
เมื่อ พ.ศ. 2445 รัชกาลที่ 5 ทรงโปรดเกล้า ฯ ให้เสนาบดีกระทรวงยุติธรรมและกระทรวงนครบาล เป็นเจ้าหน้าที่จัดซื้อที่ดินตำบลบางขวาง อำเภอตลาดขวัญ จังหวัดนนทบุรีเพื่อจัดสร้างเรือนจำมหันตโทษกลาง แต่ยังไม่ทันสำเร็จเรียบร้อย ก็เสด็จสวรรคตเสียก่อน ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 6 ทรงใช้ที่ดินส่วนหนึ่งสร้างเป็นโรงเรียนแบบกินนอน คือ โรงเรียนราชวิทยาลัย เมื่อสิ้นรัชกาลที่ 6 ถึงสมัยรัชกาลที่ 7 เศรษฐกิจตกตํ่ามากจึงได้ยุบกิจการโรงเรียนนี้ แล้วมอบอาคารเรียนให้เป็นศาลากลางจังหวัดนนทบุรี
ในสมัยรัชกาลที่ 7 พ.ศ. 2471 จึงได้ย้ายศาลากลางจากท่าเรือตลาดขวัญ มาตั้งใหม่ ณ อาคารเดิมของโรงเรียนราชวิทยาลัย ส่วนเรือนจำกลางบางขวางนั้นได้เริ่มดำเนินการใหม่ ราว พ.ศ. 2462 และสร้างเสร็จเปิดดำเนินกิจการได้เมื่อ พ.ศ. 2474 ซึ่งจะได้กล่าวเฉพาะเรื่องในบทต่อไปอาคารเรียนของโรงเรียนราชวิทยาลัยนี้ นอกจากจะใช้เป็นศาลากลางจังหวัดนนทบุรีแล้ว ยังจัดแบ่งบางส่วนเป็นที่ว่าการอำเภอเมืองนนทบุรี เป็นสำนักงานเทศบาลเมืองนนทบุรี ส่วนหอประชุมของโรงเรียนนั้น ใช้เป็นที่ตั้งของโรงเรียนสตรีประจำจังหวัดนนทบุรี ตั้งแต่ พ.ศ. 2476 พ.ศ. 2498 ศาลากลางจังหวัดนนทบุรีแห่งนี้ นับว่าเป็นศาลากลางจังหวัด ที่สง่างามยิ่งแห่งหนึ่ง เนื่องจากรูปแบบการก่อสร้างมีลักษณะเฉพาะที่อิงเอกลักษณ์ไทย กรมศิลปากรจึงได้ขึ้นบัญชีไว้เป็นโบราณสถานแห่งหนึ่งด้วย ทางกระทรวงมหาดไทยเคยขอรื้อดัดแปลง เพื่อสร้างใหม่ ทางกรมศิลปากรคัดค้านจึงคงรูปอยู่จนถึงทุกวันนี้
ในสมัยก่อนการคมนาคมระหว่างจังหวัดนนทบุรีกับเมืองหลวง ต้องใช้ทางนํ้าเป็นพื้น ดังในรายงานที่กล่าวไว้ข้างต้นว่าใช้เรือยนต์ของบริษัทมอเตอร์โบ๊ต และมีรถไฟของเอกชนแล่นทางฝั่งตะวันตก (ชาวบ้านเรียกว่า รถไฟเจ้าพระยาวรพงศ์) ซึ่งก็ไม่ใคร่สะดวกนัก ต่อมาการใช้รถยนต์ก้าวหน้าขึ้น ในสมัยรัชกาลที่ 8 ได้มีการตัดถนนรถยนต์เชื่อมระหว่างนนทบุรี กรุงเทพ ขึ้นเป็นสายแรก เรียกว่า ถนนประชาราษฎร์ สายต่อมาคือถนนเลียบริมฝั่งแม่นํ้าตัดค้างไว้แต่สมัยรัชกาลที่ 8 แต่สำเร็จใช้เดินรถได้ในสมัยรัชกาลที่ 9 ให้ชื่อว่าถนนพิบูลสงคราม
กล่าวได้ว่าจังหวัดนนทบุรีได้เริ่มพัฒนามากขึ้น ในสมัยรัชกาลที่ 8 โดยเฉพาะการคมนาคม และการศึกษา ส่วนรูปแบบการปกครองก็เปลี่ยนไปตามลักษณะการบริหารราชการส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น เพราะประเทศไทยได้เปลี่ยนการปกครองเป็นแบบประชาธิปไตยตั้งแต่ พ.ศ. 2475 สมัยรัชกาลที่ 7 ความเจริญเหล่านี้มีอุปสรรคทำให้ชะงักลงด้วยเหตุ 2 ประการคือ เกิดสงครามโลก ครั้งที่ 2 เมื่อ พ.ศ. 2482 - พ.ศ. 2488 และเกิดนํ้าท่วมใหญ่ เมื่อ พ.ศ. 2484 ซึ่งทำให้สวนทุเรียน จมนํ้า ทุเรียนตายเกือบหมด เกิดการเสียหายทางเศรษฐกิจครั้งยิ่งใหญ่
หากจะกล่าวถึงผลดีที่ชาวเมืองนนท์ได้รับจากการเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็อาจจะมีอยู่บ้างคือในราว พ.ศ. 2486 - พ.ศ. 2487 ครั้งนั้นเครื่องบินของสัมพันธมิตรได้โจมตีกรุงเทพฯ หนักมาก ชาวกรุงเทพฯ จึงอพยพมาเช่าบ้านอยู่ทางจังหวัดนนทบุรี เพราะไม่มีจุดยุทธศาสตร์ และ ต่อมาก็ได้แต่งงานกับชาวนนท์ไปหลายคู่ โรงเรียนบางแห่งก็ย้ายมา แม้กระทั่งโรงพยาบาลศิริราชก็ ยังย้ายคนไข้มาอยู่ที่บริเวณสนามศาลากลางจังหวัด โดยสร้างอาคารชั่วคราวขึ้นเต็มตลอดทั้งสนาม นับได้ว่าการอพยพของชาวกรุงมีส่วนช่วยให้ชาวเมืองนนท์มีเศรษฐกิจดีขึ้นทั้งการสังคมก็กว้างขวาง ขึ้นด้วย
รัชกาลที่ 9
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช (พ.ศ. 2489 - ปัจจุบัน)
แม้จังหวัดนนทบุรีจะเป็นเมืองชานนครหลวง แต่สภาพของตัวเมือง เมื่อเริ่มสมัยรัชกาลที่ 9 ยังคงมีสภาพคล้ายหัวเมืองชนบทที่อยู่ห่างไกล กระทรวงมหาดไทยเห็นความจำเป็นที่จะต้องปรับปรุงให้จังหวัดได้พัฒนาอย่างรวดเร็ว จึงได้มอบนโยบายสำคัญมากับผู้ว่าราชการจังหวัดในสมัยนั้น (นาย สอาด ปายะนันทน์ พ.ศ. 2503 - 2511) ให้สนองนโยบายของรัฐบาลให้ได้ จังหวัดนนทบุรีจึงได้พัฒนาอย่างรุดหน้าและรวดเร็วมาก โดยเริ่มจากตัวเมือง และตัวอำเภอที่สำคัญๆ ก่อน ดังจะขอนำตอนหนึ่งจากคำปราศัยของจอมพลประภาส จารุเสถียร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในสมัยนั้น ได้กล่าวต่อที่ประชุมข้าราชการ เมื่อคราวมาตรวจเยี่ยมประชาชนชาวนนทบุรี เมื่อ 7 สิงหาคม 2506 ดังนี้
“………..แต่เดิมมา แม้แต่ภายในตัวเมืองเอง ก็ยังอยู่กันขะมุกขะมอมมอมแมม ผมก็อยากให้เมืองนี้สวยงามขึ้น และนอกจากนั้น ถนนเชื่อมจากพระนครเข้ามาถึงแล้ว ทั้งแขก ทั้งฝรั่ง ทั้งญี่ปุ่น ทั้งจีน ก็พากันมาดูเรือนจำบางขวาง เขาเห็นนนทบุรีพรอวินส์ ขะมุกขะมอมเข้า ผมก็รู้สึกอายเขาเหลือเกิน มีกอฟเวอเนอร์อยู่ทั้งคน จะปล่อยให้เก่าแก่เหมือนเดิมไม่ได้ฉะนั้นผมจึงได้เคี่ยวเข็นมายังจังหวัด พยายามจะให้เห็นจังหวัดนี้สวยงามขึ้น และมีความเป็นอยู่สุขสบายตามสมควร ดังนั้น จึงได้รุกมายัง ผู้ว่าราชการจังหวัดมาก ท่านก็เป็นคนชอบมุมานะในเรื่องนี้อยู่แล้วผมเห็นว่าท่านเหมาะกับงานนี้ จึงได้เชิญมาอยู่ที่นี่และก็ได้เห็นผลทันตาดีเหมือนกัน…………”
จังหวัดนนทบุรีจะพัฒนาอย่างไรนั้น จะขอบรรยายสรุป โดยอาศัยหัวข้อจากป้ายอนุสรณ์แสดงผลงานของการพัฒนา ซึ่งสร้างไว้หน้าศาลากลางจังหวัดมากล่าว ดังนี้
ผลการพัฒนาจังหวัดนนทบุรี
ระหว่างปี พ.. 2503 - 2507
ซึ่งสาเร็จด้วยความร่วมมือของประชาชนและหน่วยงานต่าง ๆ
1. การพัฒนาเมืองนนทบุรี
กวาดล้างแหล่งเสื่อมโทรมทั้งเมือง (ขยายถนนให้กว้าง) และสร้างเมืองใหม่ (รวมทั้งตลาดสดและถนนโดยรอบ) เฉพาะอาคารพาณิชย์เทศบาล 123 คูหา ราคา 5,000,000 บาท มีผู้สร้างอุทิศให้เทศบาล
รวมรายจ่ายตามโครงการประมาณ 15,000,000 บาท
2. การพัฒนาเมืองบางบัวทอง
กวาดล้างแหล่งเสื่อมโทรมครึ่งเมือง และสร้างเมืองใหม่ เฉพาะอาคารพาณิชย์เทศบาล 128 คูหา ตลาดสด (รวมเขื่อนหน้าตลาด) และถนน ราคา 6,000,000 บาท มีผู้สร้างอุทิศให้เทศบาล
รวมรายจ่ายตามโครงการนี้ประมาณ 8,000,000 บาท
3. การพัฒนาอาเภอปากเกร็ด
ย้ายที่ตั้งอำเภอและสร้างบริเวณชุมนุมชนการค้าใหม่ เฉพาะอาคารพาณิชย์และอาคาร ต่าง ๆ ราคา 2,000,000 บาท มีผู้สร้างอุทิศให้สุขาภิบาล
4. การพัฒนางานคมนาคม
4.1 ตัดถนนสายบางกรวย ไทรน้อย เป็นถนนลาดยาง ยาว 38 กิโลเมตร (และถนนแยกไปบางบำหรุ) รวมรายจ่ายตามโครงการนี้ประมาณ 5,000,000 บาท ทั้งนี้ประชาชนได้อุทิศที่ดินให้ตัดถนนด้วยคิดเป็นเงินอีกประมาณ 3,000,000 บาท
4.2 ถนนตัดใหม่ 10 สาย และปรับปรุงถนนเก่า รวมรายจ่ายประมาณ ๑,๕๐๐,๐๐๐ บาท กล่าวคือ บริเวณเมืองด้านตะวันออกได้ตัดถนนซอยหลายสายเช่นซอยวัดบางขวาง ซอยวัดกำแพง ซอยเหนือโรงเรียนวัดเขมาภิรตาราม ซอยหน้าโรงเรียนศรีบุณยานนท์ไปเชื่อมกับซอยเรวดี ซอยรอบศาลากลางจังหวัดและซอยหลังธนาคารกรุงไทย ฯลฯ ส่วนทางด้านทิศตะวันตก มีการตัดถนนเชื่อมตำบล ชุมชน และวัด เข้าสู่ถนนใหญ่ (บางกรวย ไทรน้อย) หลายสาย เช่น ซอยวัดเฉลิมพระเกียรติ ซอยวัดประชารังสรรค์ ค่ายลูกเสือ และซอย อ. บางใหญ่ ฯลฯ
5. การพัฒนาการศึกษา
ได้สร้างพิพิธภัณฑ์ประวัติธรรมชาติ ห้องสมุดประชาชนประจำจังหวัด ปรับปรุงโรงเรียนให้ถาวร (23 แห่ง) และอื่น ๆ รวมค่าใช้จ่ายประมาณ 5,000,000 บาท
6. การพัฒนางานสาธารณสุข
ได้สร้างอาคารในโรงพยาบาลนนทบุรีเพิ่มเติม สร้างสถานีอนามัยชั้นหนึ่ง 3 แห่ง สร้างสถานีอนามัยชั้นสองและอื่น ๆ รวมค่าใช้จ่ายประมาณ 2,000,000 บาท
7. การพัฒนาอาชีพ
ขุดคลองขนาดใหญ่ 2 คลอง ขุดคลองขนาดเล็กและลอกคลองเก่า 45 คลอง รวม ความยาวประมาณ 153 กิโลเมตร รวมค่าใช้จ่ายในการนี้และกิจการอื่น ๆ ประมาณ 3,000,000 บาท
ได้ซื้อรถขุดเพื่อช่วยการทำนา และขุดคลองใหม่ 3 คัน ราคาประมาณ 1,000,000 บาท
8. การพัฒนางานสาธารณูปโภค
ติดตั้งไฟฟ้าสาธารณะที่ ถนนแจ้งวัฒนะ ถนนงามวงศ์วาน และอื่น ๆ รวม 10 ถนนยาวประมาณ 32 กิโลเมตร ค่าใช้จ่ายประมาณ 5,000,000 บาท
ปรับปรุงกิจการเดินรถโดยสารประจำทาง โดยซื้อรถใหม่ 50 คัน รวมทั้งปรับปรุง กิจการอื่น ๆ ค่าใช้จ่ายประมาณ 12,000,000 บาท
9. การพัฒนาตามอาเภออื่น ๆ รวมรายจ่ายประมาณ 1,000,000 บาท
รวมการพัฒนาในรอบ 4 ปี 60,000,000 บาท
การพัฒนาอื่น ๆ ที่ควรกล่าวถึงได้แก่
1. การสร้างเขื่อนคอนกรีตเสริมเหล็กหน้าศาลากลางจังหวัดนนทบุรี แทนเขื่อนเดิมที่ พังทลาย เขื่อนที่สร้างใหม่ยาว 170 เมตร ขยายถนนคอนกรีตออกไปอีก 8 เมตร และมีทางเท้า กว้าง 4 เมตร สุดทางเท้ามีลูกกรงคอนกรีตและเสาไฟฟ้าพร้อมดวงโคมทุกระยะ 6 เมตร เสร็จเมื่อ 20 ธันวาคม 2508 ใช้งบประมาณ 4,278,350 บาท
            2
. การสร้างสนามกีฬาจังหวัด ค่ายลูกเสือและสวนสาธารณะ สร้างที่บริเวณวัดโบสถ์ ดอนพรหมเขต อ. เมืองนนทบุรีติดต่อกับ อ. บางใหญ่ใช้เนื้อที่ประมาณ 40 ไร่ งบประมาณ ในการก่อสร้าง 1,000,000 บาท เมื่อ พ.. 2508
ผลจากการพัฒนาของจังหวัด ทำให้ชุมชนต่างๆ ตื่นตัวขึ้น ต่างเห็นความจำเป็นที่จะต้องปรับปรุงสภาพความเป็นอยู่ของตน ทั้งรัฐบาลในสมัยต่อมาได้มีโครงการสร้างงานในชนบทเป็น โครงการสำคัญ สภาตำบลทุกสภาต่างวางโครงการพัฒนาท้องถิ่นของตนให้เจริญ โครงการส่วนใหญ่ได้แก่ การตัดถนนเข้าสู่หมู่บ้าน การประปาอนามัย และการขุดลอกคลอง สมัยปัจจุบันนี้จังหวัดนนทบุรีจึงกำลังพัฒนาในทุก ๆ ด้าน อาทิ การคมนาคม การศึกษา การพาณิชย์ การเกษตร และการสาธารณสุข เป็นต้น
พระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและ
พระบรมวงศานุวงศ์ที่เกี่ยวกับจังหวัดนนทบุรี
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และพระบรมวงศานุวงศ์ได้เสด็จมาที่ จังหวัดนนทบุรีหลายครั้ง เท่าที่พอจะค้นหาหลักฐานได้มีดังนี้
.. 2494 (โดยประมาณ)
- พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถเสด็จเยี่ยมชมสวนทุเรียนของชาวสวนแห่งหนึ่ง สวนแห่งนี้อยู่ริมฝั่งแม่นํ้าเจ้าพระยาเหนือที่ว่าการอำเภอเมืองนนทบุรี เป็นสวนของนายสุเทพ รัตนเสวี อดีตผู้แทนราษฎรนนทบุรี
.. 2508
- สมเด็จพระศรีนครินทราทราบรมราชชนนี เสด็จเยี่ยมศูนย์บริการเด็กพิการ ที่อำเภอ ปากเกร็ด เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์
- พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถเสด็จพระราชดำเนินร่วมพิธีลอยกระทง ณ วัดเฉลิมพระเกียรติ พร้อมด้วยเจ้าหญิงอเล็กซานดราแห่งเคนท์ เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน
.. 2517
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จไปทรงประกอบพิธีพระราชทานธงประจำรุ่นแก่ลูกเสือชาวบ้าน 3 รุ่น และพระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ผู้ที่มีจิตศรัทธา เฝ้าทูลเกล้า ฯ ถวายเงินเพื่อโดยเสด็จพระราชกุศลในกิจการลูกเสือชาวบ้าน เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์
ในวันเดียวกันนี้ได้เสด็จไปทรงประกอบพิธีเปิดวัดพระแม่การุณย์ของมิซซังโรมัน คาทอลิก ที่ตำบลบ้านใหม่ อำเภอปากเกร็ดด้วย
.. 2521
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถและสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ เสด็จพระราชทานธงลูกเสือชาวบ้าน ที่โรงเรียนสตรีนนทบุรี
.. 2523
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เสด็จแทนพระองค์มาเป็นองค์ประธานในพิธีตัดลูกนิมิตร ณ วัดกู้ อำเภอปากเกร็ด เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม

No comments:

Post a Comment